เอ็มจี เปิดตัว MG3 HYBRID+ ที่แรกในโลก พร้อมยกขบวนรถยนต์สุดล้ำมากกว่า 10 รุ่น เข้างาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024

0
246

  • เอ็มจี แนะนำรถ MG3 HYBRID+ รุ่นล่าสุดที่งาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 เป็นครั้งแรก และถือเป็นหนึ่งในโกลบอลโมเดลอีกรุ่นที่จะลุยตลาดทั่วโลก
  • เอ็มจี เผยสเปคของ MG CYBERSTER ที่มาจัดแสดงในยุโรป
  • เปิดตัวแบรนด์รถไฟฟ้า IM (INTELLIGENT MOBILITY) ในตลาดยุโรปเพื่อนำเสนอ EV รุ่นพรีเมียม

เจนีวา – วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 – MG Motor Global ได้เข้าร่วมงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ของ เอ็มจี ที่ได้จัดแสดงรถยนต์ในงานนี้ โดย เอ็มจี ได้นำรถยนต์ไฮไลท์มากกว่า 10 รุ่น มาจัดแสดงภายในงาน นำโดยการเปิดตัวครั้งแรกของ รถยนต์ไฮบริด MG3 HYBRID+ สปอร์ตซีดาน อย่าง MG7 รถแฮทช์แบ็คไฟฟ้า100% MG4 ELECTRIC รวมถึง MG CYBERSTER สปอร์ตโรดสเตอร์อีวี และพรีเมียมอีวี ในรุ่น MG9 EV และ MG S9 EV รวมถึงแบรนด์ IM ที่มาในแบบซีดานอีวี L6 และL7 เอสยูวีพรีเมียมอย่าง LS6 และ LS7

MG MOTOR GLOBAL ได้ทำการเผยโฉมรถยนต์ MG3 HYBRID+ รุ่นใหม่เป็นครั้งแรก โดยรถรุ่นนี้เป็นรถยนต์ไฮบริดเวอร์ชันใหม่ ที่มอบการผสมผสานระหว่างสมรรถนะดีเยี่ยมเข้ากับความคุ้มค่าและอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่พัฒนาขึ้น รวมถึงงานดีไซน์ใหม่ทั้งคันจากภายนอกและภายใน ให้มีความโดดเด่นกว่ารุ่นที่ผ่านมา

MG3 HYBRID+ จัดอยู่ในรถยนต์เซกเมนต์ B แฮทช์แบ็ค ที่ถือเป็นเซกต์เมนต์ที่ได้รับความนิยมในตลาดยุโรป ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเยี่ยมในชีวิตประจำวัน มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 HYBRID+ ประสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 1.83 kWh เมื่อทำงานร่วมกันจะได้พละกำลังรวมสูงสุดที่ 194 แรงม้า โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 100 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ให้อัตราเร่งที่  0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 8 วินาที MG3 HYBRID+ มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมด Eco ประหยัดพลังงาน โหมด Standard เพื่อการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่ที่เร้าใจ

การออกแบบภายในห้องโดยสารมีความล้ำสมัย ด้วยจอแสดงผลคู่พร้อมระบบสัมผัส มาพร้อมระบบอัจฉริยะ     i-SMART และระบบช่วยเหลือการขับขี่ อย่าง MG Pilot ให้การเชื่อมต่อและเสริมความปลอดภัยที่ดีขึ้น พื้นที่ห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายถูกออกแบบให้มีพื้นที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

Mr. David Allison, MG Motor UK Head of Product and Planning กล่าวว่า “ด้วยคุณสมบัตินี้ รถยนต์ MG3 รุ่นใหม่จะมอบความผสมผสานของสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีพลังงานใหม่ Hybrid+ ของเอ็มจี ซึ่งเราได้มีการปรับปรุงให้ระบบ Hybrid+ นั้นดีขึ้นทุกด้าน แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดการขับขี่ที่สนุกสนานของ เอ็มจี อีกทั้งฟีเจอร์ต่าง ๆ ภายในตัวรถ ได้ถูกออกแบบให้มีความพรีเมียม รวมถึงระบบความปลอดภัยของรถรุ่นนี้ สามารถมอบความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในทุกที่นั่ง อย่างแน่นอน”

นอกจากการเปิดตัวครั้งแรกของ MG3 HYBRID+ แล้ว เอ็มจี ยังได้นำ รถยนต์รุ่นอื่น ๆ มาจัดแสดงในงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 โดยมีรุ่นที่ได้รับความสนใจจากหลากหลายประเทศ อาทิ โรดสเตอร์ระดับตำนานฉลองครบ 100 ปี อย่าง MG CYBERSTER ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่มอบพละกำลังสูงสุดกว่า 544 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) พร้อมกับแรงบิดสูงสุดถึง 725 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 3.2 วินาที รวมถึง MG4 ELECTRIC ซึ่งเป็นเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นโกลบอลที่ถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นบุกเบิกให้แบรนด์ เอ็มจี ได้รับยอดขายสูงในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงกวาดรางวัลต่างๆ มาแล้วมากมายทั่วโลก ซึ่งรุ่นที่นำมาโชว์ภายในงานเป็นรุ่นมอเตอร์คู่ (X POWER) รวมถึง MG7 และ MG9 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นการเติมเต็มให้กับ เอ็มจี ได้สามารถตอบโจทย์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้คลอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่รถขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ทุกกลุ่มคน MG3 Hybrid+ ไปจนถึงรถระดับพรีเมียมที่มีความหรูหราอย่าง MG9

นอกจากนี้ เอ็มจี ทุกรุ่นที่กล่าวมา ในงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 ยังถือเป็นครั้งแรกที่ เอ็มจี ได้เปิดตัว แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียมอย่าง IM (INTELLIGENT MOBILITY) โดยนำมาจัดแสดงทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ IM L6 รถยนต์ซีดานไฟฟ้า และ IM L7 รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม รวมถึงสปอร์ตคูเป้ไฟฟ้าสองขนาดอย่าง IM LS6 และ LS7 โดยแบรนด์ IM จะเริ่มทำการจำหน่ายในยุโรปภายในปี ค.ศ. 2025 นี้ รถ IM ทุกรุ่นได้ถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระดับสูงทั้งในระบบการขับเคลื่อนรวมถึงระบบความปลอดภัยและระบบอัจฉริยะภายในห้องโดยสาร ประกอบกับแบตเตอรี่ที่มีแผนจะพัฒนาให้เป็น Solid State Battery สามารถให้ระยะทางวิ่งไกลสูงสุดถึง 800 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จที่รองรับความเร็วสูงสุดโดยใช้ระยะเวลาเพียง 15 นาทีสามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ MG MOTOR GLOBAL ได้ที่

Facebook: https://www.facebook.com/MGMotorGlobal

Instagram: mg_motor_global

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของ เอ็มจีได้ที่

Website: www.mgcars.com

Line: @MGThailand

Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand

Twitter: @mg_thailand

Instagram: @mgthailand

Youtube: MG Thailand

TikTok: @mgthailand

Application: MG Thailand

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่