รถกระบะยอดนิยมของไทยอย่าง Nissan Navara ที่หลังจากได้เปิดตัวโฉมที่ 3 มาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2563 ก็ยังไม่มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ แต่ในเวลานี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการสิ้นสุดรอคอยการปรับโฉมของรถกระบะที่แฟน ๆ รอคอย ที่อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแค่หน้าตา แต่อาจจะเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บใหม่สู้ศึกตลาดรถกระบะทั้งในไทย ออสเตรเลีย และอื่น ๆ ได้ดุเดือดยิ่งขึ้น
ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะเปิดตัวในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ทาง Nissan ออสเตรเลียก็ได้ชิงเผยโฉม และข้อมูลบางส่วนของ Nissan Navara โฉมไมเนอร์เชนจ์ กับภาพลักษณ์ที่สืบทอดจากรถกระบะฟูลไซส์จากอเมริกาอย่าง Nissan Titan พร้อม ๆ กับการนำเสนอรุ่นท็อปสุดอย่าง Nissan Navara Pro-4X ที่จะมาแทนที่ Nissan Navara N-Trek ในโฉมปัจจุบัน
ก่อนอื่นมาดูหน้าตาของ Nissan Navara Pro-4X จะถูกเสริมชุดแต่งสไตล์ออฟโรด และชุดแต่งที่เน้นการบรรทุกและลากจูงน้ำหนักสูง ไม่ว่าจะเป็นชุดกันชนหน้าขนาดใหญ่, แผงกันกระแทกใต้กันชนหน้าพร้อมห่วง, สปอร์ตบาร์ด้านท้าย, อุปกรณ์จับยึดใหม่ ๆ เป็นต้น รวมถึงเสริมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยใหม่หลายรายการ ขณะที่ขุมพลังของสเปคออสเตรเลีย จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 187 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ส่วนระบบส่งกำลังจะมีเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดให้เลือก
หลังจากที่ได้เห็นหน้าตาของ Nissan Navara Pro-4X จึงทำให้มีการคาดการณ์หน้าตาของ Nissan Navara โฉมไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งจะมีทั้งการปรับดีไซน์กระจังหน้าให้ดุดันยิ่งขึ้น, ไฟหน้า Full LED ดีไซน์ใหม่ เช่นเดียวกับไฟท้าย LED พร้อมกับเสริมซิกเนเจอร์ด้วยไฟส่องกลางวัน และเส้นสายไฟท้ายทรง C-Shape, ปรบลุคกันชนหน้าให้โดดเด่น ดูทรงพลัง ควบคู่กับไฟตัดหมอก LED แบบใหม่, ฝากระบะท้ายที่ปรับรูปลักษณ์ใหม่ แต่ยังคงมีส่วนสปอยเลอร์บริเวณบนฝากระบะท้ายเหมือนเดิม แต่จะโดดเด่นขึ้นด้วยปั๊ม Navara แบบนูนต่ำ เป็นต้น
เมื่อเปิดประตูภายใน ก็จะพบกับการปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายรายการจนทำให้รถดูทันสมัยมากขึ้น เช่น พวงมาลัยทรงใหม่, มาตรวัดจอดิจิตอลขนาดใหญ่ที่ขนาบข้างด้วยมาตรวัดอนาล็อก, จออินโฟเทนเมนต์ปรับรายละเอียดเล็กน้อย และรองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay / Andriod Auto และระบบนำทาง, ระบบปรับอากาศแบบแยก 2 โซน พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง, เบาะโดยสารด้านหลังใหม่ปรับดีไซน์ใหม่, เพิ่มพอร์ท USB Type-A มากขึ้น รวมถึงเพิ่ม USB Type-C ด้วย, ปรับปรุงป้องกันเสียงรบกวนเล็ดลอดเข้าห้องโดยสารมากขึ้น ส่วนช่วงล่างอาจจะได้รับการปรับปรุงเน้นรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ด้านระบบความปลอดภัยหลัก ๆ จะมีการปรับปรุงเซ็นเซอร์หน้ารถแบบใหม่ ที่ซ่อนอยู่ในช่องดักลมด้านล่างของกระจังหน้า ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยคาดว่าจะมาพร้อมฟังก์ชั่นตรวจจับวัตถุตรงหน้า รวมถึงคนเดินเท้าที่มีความละเอียดสูง โดยทำงานควบคู่กับกล้องหน้ารถที่ซ่อนใต้กระจกบังลมหน้า รวมถึงยังได้รับระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ด้านหน้า, ระบบป้องกันรถออกนอกเลนกระทันหัน, ระบบป้องกันการชนท้ายรถในกรณีรถวิ่งตัดขวาง, ระบบตรวจจับจุดบอดด้านหลัง, ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง และอื่น ๆ ซึ่งบางออพชั่น ก็อาจจะมีแค่เฉพาะเกรดเท่านั้น
สำหรับรายละเอียดของสเปคไทยนั้น คาดว่านอกจากจะปรับดีไซน์ใหม่แล้ว ยังได้รับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกับสเปคออสเตรเลีย ยกเว้นเครื่องยนต์ที่อาจจะยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VGS เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 403 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที
แม้จะเผยภาพและข้อมูลจากออสเตรเลีย แต่ตัวรถจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่ในประเทศไทยนั้นจะได้สัมผัสก่อนใคร 9 พฤศจิกายนนี้ ข้อมูลจัดเต็มแน่นอน