บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2567 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2568 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2567
ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567 ยังคงอยู่กับสถานการณ์ที่ท้าทายเป็นอย่างมาก จากสภาวะโดยรวมและทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา สะท้อนมายังตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2567 อยู่ที่ 572,675 คัน หรือลดลง 26.2% เมื่อเทียบกับปี 2566
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2567 | ยอดขายปี 2567 | การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2566 |
|
572,675 คัน | -26.2% |
|
224,148 คัน | -23.4% |
|
348,527 คัน | -27.9% |
|
200,190 คัน | -38.4% |
|
163,347 คัน | -38.3% |
ทั้งนี้ มีปัจจัยหลากหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อที่ลดลงตามสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจ รวมถึง ค่าครองชีพ อัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ทรงตัวสูง ตลอดจนความเข้มงวดของมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปีที่ผ่านมา อาทิ การที่ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (HEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นแรงส่งสำคัญในช่วงที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากการที่รถยนต์ไฮบริดในไทยมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 29% แสดงให้เห็นถึงทางเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น
สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2567 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 220,356 คัน หรือลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากแต่ยังคงความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 38.5% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความนิยมของรถในกลุ่มอีโคคาร์ของโตโยต้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่ง ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Yaris Cross ที่ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้านับตั้งแต่เปิดตัว
ในขณะที่สัดส่วนยอดขายของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ยังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 44% จากการที่โตโยต้าพัฒนารถกระบะไฮลักซ์ให้รองรับการใช้งานต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสำเร็จของ Toyota Hilux Champ ซึ่งให้การปรับแต่งเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้เป็นอย่างดี มียอดขายอยู่ที่ 11,743 คัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 7.2% ในกลุ่มรถกระบะ นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของ โตโยต้า ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2567 | ยอดขายปี 2567 | การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2566 | ส่วนแบ่งตลาด |
|
220,356 คัน | -17.1% | 38.5% |
|
66,912 คัน | -32.6% | 29.9% |
|
153,444 คัน | -7.9% | 44.0% |
|
91,001 คัน | -29.3% | 45.5% |
|
77,987 คัน | -26.8% | 47.7% |
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2568
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2568 คาดว่าจะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีแรงหนุนด้านอุปสงค์จากกิจกรรมในภาคธุรกิจและการลงทุนที่จะกระเตื้องขึ้น ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์ให้สูงขึ้น นโยบายของภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น การขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ตลอดจนกลยุทธการส่งเสริมการขายและสงครามราคาจากผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่างๆที่คงจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อการส่งออก ตลอดจนสถานการณ์ที่ทางสถาบันการเงินอาจยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เนื่องจากความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงและอัตราหนี้เสียที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป และทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ย ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2568 จะอยู่ที่ 600,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2568 | ยอดขายประมาณการ
ปี 2568 |
เปลี่ยนแปลงเทียบกับ
ปี 2567 |
|
600,000 คัน | +5.0% |
|
235,900 คัน | +5.0% |
|
364,100 คัน | +4.0% |
สำหรับโตโยต้า ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 231,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 38.5%
ประมาณการยอดขายรถยนต์โตโยต้าในปี 2568 | ยอดขายประมาณการ
ปี 2568 |
เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2567 |
ส่วนแบ่งตลาด |
|
231,000 คัน | +5.0% | 38.5% |
|
79,300 คัน | +19% | 33.6% |
|
151,700 คัน | -1.0% | 41.7% |
|
87,365 คัน | -4.0% | 47.8% |
|
73,800 คัน | -5.0% | 50.7% |
ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2567
ในปี 2567 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปจำนวน 338,107 คัน ลดลง 11% จากปี 2566 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกใน ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 536,145 คัน หรือลดลง 14% จากปี 2566
ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ
โตโยต้าในปี 2567 |
ปริมาณในปี 2567 | เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2566 |
|
338,107 คัน | -11% |
|
536,145 คัน | -14% |
เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2568
สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปี 2568 คาดการณ์ว่ายังต้องเผชิญกับภาวะทรงตัวสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศ คู่ค้า ส่งผลให้โตโยต้าตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 336,184 คัน หรือลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2568 อยู่ที่ราว 537,860 คัน หรือเพิ่มขึ้น 0.3% จากปีที่ผ่านมา
เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2568 | ปริมาณในปี 2568 | เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2567 |
|
336,184 คัน | -1.0% |
|
537,860 คัน | +0.3% |
แนวทางในการดำเนินงานด้านอื่นๆของโตโยต้าในประเทศไทย
1. หนึ่งในหลักการที่โตโยต้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้า คือ QDR ซึ่งย่อมาจาก Quality, Durability and Reliability หมายถึงคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ แนวคิดนี้ช่วยให้โตโยต้ามีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือของยานยนต์ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน สามารถตอบสนองความคาดหวัง และเสริมสร้างความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อโตโยต้าได้อย่างต่อเนื่อง
• คุณภาพ (Quality) โตโยต้ามุ่งมั่นในการผลิตยานยนต์ที่มีคุณภาพสูง ทั้งในด้านการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ และกระบวนการผลิต รวมถึงการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนของการผลิต
• ความทนทาน (Durability) โตโยต้าให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ที่มีความทนทาน สามารถใช้งานได้ยาวนาน และทนต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
• ความน่าเชื่อถือ (Reliability) รถยนต์ที่ผลิตโดยโตโยต้าถูกออกแบบให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ไม่เกิดปัญหากะทันหันขณะใช้งาน และสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์
2. ในการเดินหน้าสู่การเป็น Mobility Company โตโยต้าคำนึงถึงการดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ผ่านการผลิต ยนตรกรรมคุณภาพสูง ทนทาน และน่าเชื่อถือ พร้อมกับการให้บริการชิ้นส่วนอะไหล่และศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความอุ่นใจขณะใช้รถโตโยต้า พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนาบริการหลังการขายให้มีมาตรฐานและคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนะนำบริการรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อ (Connected) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานของลูกค้า โดยยังให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า พร้อมสนับสนุนการใช้รถที่ปลอดภัย การบำรุงรักษา และไลฟ์สไตล์ประจำวันของลูกค้า โดยมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อตามทันเทคโนโลยีและตอบสนองพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
• T-Connect: ยกระดับการบริการลูกค้ายุคดิจิทัล เพื่อความสะดวกและคุ้มค่าของลูกค้า โดยแบ่งบริการออกเป็น 5 หมวด พร้อมฟังก์ชันและบริการมากกว่า 20 บริการ อาทิ บริการสินเชื่อ Connected Auto Loan (CAL) / ประกันภัยขับดี Pay How You Drive (PHYD) / บริการช่วยเหลือด้านความปลอดภัย เช่น ระบบ Find My Car, TheftTrack, SOS ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลเคสได้ 100% / บริการอำนวยความสะดวกในการเข้าศูนย์บริการ แจ้งเตือนเข้าเช็กระยะ ติดตามสถานะการซ่อมผ่านแอปพลิเคชัน / สิทธิพิเศษไลฟ์สไตล์ ผ่านความร่วมมือกับ The1 เพื่อแลกส่วนลดและสะสมคะแนนเพื่อใช้ที่เซ็นทรัลและร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ
• TCFR Plus+: ยกระดับการบริการหลังการขายของโตโยต้า มอบความมั่นใจให้ลูกค้าตลอดระยะเวลาการเป็นเจ้าของรถโตโยต้า โดยบริการหลังการขายที่มีศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ ให้บริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย
• บริการทางเลือกอะไหล่คุณภาพและรถใช้แล้วคุณภาพดี เพื่อให้ครอบคลุมด้านงานบริการอย่างครบวงจร และให้ลูกค้าเกิดความสบายใจตลอดการใช้รถ สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะการรับประกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประกันภัย บำรุงรักษา รวมถึงการดูแล ตลอดจนราคาขายต่อของรถที่ยังคงสมเหตุสมผล อาทิ
- ฟิกซ์ฟิต (FIX FIT) ศูนย์บริการทางเลือกที่ได้มาตรฐาน สะดวก ไม่ต้องนัดหมาย ใกล้บ้าน บริการรถทุกยี่ห้อ เหมาะสำหรับลูกค้านอกระยะรับประกัน
- อะไหล่ทางเลือก (T-OPT) อะไหล่คุณภาพระดับ OEM ที่ได้มาตรฐาน รับประกันความคุ้มค่า มีจำหน่ายที่ศูนย์บริการโตโยต้าและฟิกซ์ฟิตทั่วประเทศ
- Toyota SURE บริการรับซื้อ แลกเปลี่ยนรถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ และยังมีรถใช้แล้วคุณภาพดี Sure Certified by TOYOTA ที่มาพร้อมกับราคาที่เข้าถึงได้
3. โตโยต้ายังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multi Pathway” เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อดำเนินโครงการเกี่ยวกับการใช้งานยานยนต์ที่หลากหลาย ซึ่งทางโตโยต้าจัดเตรียมไว้เพื่อให้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) อีกด้วย
4. ในด้านกิจกรรมสังคมอื่น ๆ โตโยต้าก็ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนสังคมไทย สู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ดี ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น
• การรณรงค์ด้านการขับขี่ปลอดภัยกับ “โครงการ โตโยต้า ถนนสีขาว”
• การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนกับ “โครงการ ลดเปลี่ยนโลก”
• การดำเนิน “โครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” โดยแชร์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนไทย
• การดำเนินโครงการ “Toyota GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” ซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนผ่านการให้ในทุกมิติ ทั้งในด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ ภูมิปัญญา และการศึกษา