Park โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Here for Bangkok และผู้พัฒนา The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ที่ดีที่สุดใน Super Core CBD และ VitalLife Scientific Wellness Center ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัยในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเสวนาหัวข้อ เรื่อง “Timeless Living & Longevity” สะท้อนแนวคิดการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่ผสานการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตอกย้ำความสำคัญของที่พักอาศัยเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนแบบ HealthSpan
คุณละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด กล่าวว่า “The Residences at Dusit Central Park ร่วมกับ VitalLife Scientific Wellness Center ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัยในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เน้นย้ำความสำคัญเรื่อง Well-being Living โดยร่วมจัดเสวนาเรื่อง ‘Timeless Living & Longevity’ การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนและมีสุขภาพที่ดี โดยชูแนวคิดสำคัญของเมกะเทรนด์อย่าง Holistic Lifetime Care เพื่อรังสรรค์แนวทางการพัฒนาที่พักอาศัยให้ตอบโจทย์ชีวิตด้านสุขภาพแบบองค์รวม เน้นย้ำความสำคัญถึงเรื่องความยั่งยืนจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำและนวัตกรรมในด้านการดูแลสุขภาพ โดย The Residences at Dusit Central Park ตั้งอยู่ในโครงการ Dusit Central Park โครงการมิกซ์ยูสระดับเวิลด์คลาสที่สมบูรณ์พร้อมไปด้วยโรงแรมระดับ 5 ดาว Dusit Thani Bangkok Hotel พื้นที่รีเทล Central Park Retail และพื้นที่สำนักงาน Central Park Offices โดยมี Roof Park ขนาดใหญ่ 7 ไร่ เชื่อมโยงทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงพยาบาลชั้นนำ สถานเอกอัครราชทูต สถานศึกษา ที่สำคัญยังเป็นโครงการมิกซ์ยูสหนึ่งเดียวบนพื้นที่พระราม 4 – สีลม ที่เป็นพื้นที่ Super Core CBD เป็นจุดศูนย์กลางในการเชื่อมต่อทุกการเดินทางสู่ย่าน CBD อื่น ๆ และยังมีระบบขนส่งมวลชนที่สำคัญทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT
ในด้านการออกแบบที่พักอาศัยนอกเหนือจากการคำนึงถึงการสร้างประสบการณ์เหนือระดับ ทางโครงการยังให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพ ตั้งแต่เริ่มดีไซน์พื้นที่ อาทิ ระบบระบายอากาศที่ดี (Natural Wind Ventilation) ทำให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการได้ลมจากธรรมชาติที่เคลื่อนผ่านอย่างทั่วถึง รวมทั้ง Façade ที่มีการติดตั้งที่ออกแบบให้ห้องทุกห้องได้รับแสงแดดที่กำลังพอดี ไม่ร้อนจนเกินไป ด้านการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างยังคงเน้นย้ำเรื่องการสร้างเสริมคุณภาพชีวิต เช่น การใช้ที่กรองอากาศ HEPA Filter ซึ่งเป็นระบบกรองอากาศแบบไร้มลพิษ 2 ชั้น กรองทั้งอากาศจากภายนอกและอากาศภายในที่พักอาศัย กระจกหน้าต่าง 3 ชั้นที่สามารถป้องกันแสง UV ได้ วัสดุผนัง พื้น ประตู และหน้าต่าง ที่ดูดซับเสียงได้เป็นอย่างดีเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอกและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก้ผู้พักอาศัย การเลือกใช้ประตูและหน้าต่างที่มีผนึกป้องกันเสียงและฝุ่น การเลือกใช้วัสดุที่ช่วยป้องกันเชื้อราและความชื้น และวัสดุปูพื้นแบบไร้สารพิษ รวมทั้งได้ออกแบบพื้นที่ให้ไม่มีการยกต่างระดับช่วยลดการสะดุดล้ม โดยเลือกสรรวัสดุที่ให้ความรู้สึกหรูหราและตอบโจทย์ด้านสุขภาพสำหรับทุกเจเนเรชั่น อาทิ การนำเสนอประตูแบบบานเลื่อนที่ช่วยลดแรงต้านจากการสวิง เพื่อให้ผู้ใช้รถเข็นสามารถใช้งานได้ รวมทั้งการใช้ IoT เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุด เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้นของห้องเพื่ออนามัยที่ดีของผู้พักอาศัย เป็นต้น โดยคุณสมบัติเหล่านี้ ทางโครงการตั้งเป้าหมายที่จะได้รับการรับรองโดยเกณฑ์มาตรฐานรับรองอาคารเขียว LEED GOLD 4.1 – Residence ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก การันตีความตั้งใจในการพัฒนาโครงการว่าไม่เพียงแค่ประหยัดพลังงานและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พักอาศัยเพื่อการใช้ชีวิตและสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมอีกด้วย”
คุณละเอียด กล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้พื้นที่ส่วนกลางยังตอบโจทย์ด้าน Peaceful & Private เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยมวลรวมโดยจัดสรรพื้นที่ส่วนกลาง สำหรับผู้พักอาศัยในแต่ละ Living concept อาทิ สระว่ายน้ำ อ่างน้ำวนเพื่อสุขภาพ เตียงอาบแดดเพื่อความผ่อนคลาย Wellness Centre ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ทันสมัย ห้องอบไอน้ำและซาวน่า พร้อมทั้งบริการผู้ช่วยเพื่อสุขภาพ (Fitness Centre Attendant) และ Roof Park ที่ทางโครงการได้เลือกสรรไม้นานาพันธุ์ ที่รวมกันเป็น Ecosystem ที่ดูดซับฝุ่น ความร้อน เพิ่มออกซิเจนได้เป็นอย่างดี ภายใต้แนวคิดแห่งสุนทรียศาสตร์ของวิถีแห่งการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และการพักผ่อนหย่อนใจ นำสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นมาให้แก่ผู้อยู่อาศัย ทุกท่านสามารถใช้ Natural Trail และ Jogging Track ที่เหมาะสำหรับการเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ ในบรรยากาศที่เย็นสดชื่นและช่วยผ่อนคลายจิตใจ และยังเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มสมาธิได้ดีอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มาพร้อมเอกลักษณ์การบริการแบบ Gracious Hospitality จากดุสิตธานี เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตอย่างมั่นใจไร้กังวลในทุกมิติให้แก่ผู้อยู่อาศัยทุกท่าน เช่น โถงลิฟต์ส่วนบุคคล บริการพนักงานรักษาความปลอดภัยและซ่อมบำรุงตลอด 24 ชั่วโมง บริการดูแลที่พักอาศัยและบริการแม่บ้านทำความสะอาดเพื่อให้ที่พักสะอาดและสวยงามอยู่เสมอ โดยให้บริการอาทิตย์ละ 2 ครั้งและบริการเปลี่ยนผ้าปูเตียงเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผู้พักอาศัยมั่นใจในคุณภาพการนอนที่ดียิ่งขึ้น”
พญ. สุวรรณา สุวรรณพงษ์ Program Director และแพทย์ผู้ชำนาญการอายุรกรรมทั่วไปและอายุรศาสตร์โรคหัวใจ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ กล่าวว่า “แนวโน้มการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตลอดช่วงชีวิต หรือ Holistic Lifetime Care กำลังเป็นเทรนด์สำคัญระดับโลก โดยมีมูลค่าของอุตสาหกรรมนี้ทั่วโลกในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 1,025 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.965 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 VitalLife จึงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโปรแกรมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีสุขภาพที่ดีขึ้น และผู้ที่ยังไม่ป่วยจะได้มีสุขภาพที่ดีปลอดโรคยาวนานขึ้น เราจึงได้นำเสนอ ตั้งแต่การตรวจสุขภาพเชิงลึกด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย นำเสนอ Monitoring Device เพื่อติดตามสุขภาพของผู้ใช้บริการในทุกฝีก้าว มีการทำ Aging Evaluation เพื่อตรวจวัดอายุของร่างกายและประเมินสุขภาพในอนาคต การวางแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การทำ Aging Intervention เพื่อช่วยชะลอวัย ไปจนถึงการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และยังมีการนำเทคโนโลยี AI, Internet of Things (IoT), Internet of Medical Things (IoMT) มารวมเข้ากับอุปกรณ์ Wearable เพื่อช่วยดูแลสุขภาพของผู้ใช้บริการ ซึ่งการผนวกความเชี่ยวชาญนี้เข้ากับแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ The Residences at Dusit Central Park จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพอย่างแท้จริง”
“เป้าหมายของโครงการ คือ การมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยชั้นเลิศ พร้อมดูแลผู้อยู่อาศัยทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ แบบองค์รวม เราเชื่อมั่นว่าด้วยความชำนาญในการสร้างสรรค์ที่พักอาศัยระดับโลกของ The Residences at Dusit Central Park และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของเรา จะช่วยยกระดับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน” คุณละเอียด กล่าวสรุป