ซูเปอร์คาร์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน “Lamborghini Fenomeno” ได้รับการติดตั้งด้วยยางรถยนต์ “Potenza Sport”
[บรัสเซลส์] (21 สิงหาคม 2568) – Bridgestone ผู้นำระดับโลกด้านยางพรีเมียมและโซลูชั่นการเดินทางอย่างยั่งยืน ได้รับเลือกเป็นพันธมิตรพัฒนายางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ Lamborghini Fenomeno การเปิดตัวครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของการเปิดตัวรถคันแรกที่ออกแบบโดยแผนกออกแบบของโรงงาน Sant’Agata Bolognese ซึ่ง Lamborghini Fenomeno สะท้อนถึงเอกลักษณ์การออกแบบและความพิเศษเฉพาะของ Lamborghini โดยเป็นสุดยอดรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันซึ่งผลิตเพียง 29 คันทั่วโลกเท่านั้น มาพร้อมขุมพลัง 1,080 แรงม้า Lamborghini Fenomeno จึงเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นที่เร็วที่สุดของ Lamborghini ทั้งในอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.4 วินาที และอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที
ในฐานะที่เป็น “พันธมิตรร่วมพัฒนาด้านเทคนิคอย่างเป็นทางการ” ของ Lamborghini ทาง Bridgestone ได้พัฒนาและออกแบบยางรถยนต์พรีเมียมมาโดยเฉพาะสำหรับ Lamborghini Fenomeno ซึ่งช่วยปลดปล่อยสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์ V12 อันทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Lamborghini โดยเรายกระดับประสบการณ์อันยาวนานในวงการมอเตอร์สปอร์ต และเอกลักษณ์การออกแบบจากยางรถยนต์
ในตระกูล Potenza
Bridgestone ได้พัฒนายางรถยนต์ Potenza Sport ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ ขนาด 265/30 ZRF21 (สำหรับล้อหน้า) และขนาด 355/25 ZRF22 (สำหรับล้อหลัง) ซึ่งเป็นยางสมรรถนะสูงพิเศษ (ultra-high performance) ช่วยมอบประสิทธิภาพอย่างเหนือชั้นในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ และความมั่นใจในการขับขี่รองรับขุมพลัง 1,080 แรงม้า ของ Lamborghini Fenomeno
ยางรถยนต์พรีเมียม Potenza Sport ยังมาพร้อม Run Flat Technology (RFT) ของ Bridgestone ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถไปได้แม้หลังจากที่ยางรั่ว และสามารถขับต่อไปได้อย่างปลอดภัยถึง
80 กม.ที่ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. แม้มีแรงดันลมยางเป็นศูนย์.
Lamborghini Fenomeno ได้รับการติดตั้งด้วยยางรถยนต์จาก Bridgestone ที่ได้รับการออกแบบ
มาโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติการยึดเกาะถนนได้ดี และเป็นยางรถยนต์แบบ semi-slick จึงช่วยปลดปล่อยสมรรถนะการขับขี่ทั้งบนสนามแข่ง และยังได้รับการรับรองสำหรับการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งมีให้เลือกสำหรับการใช้งานทั้งขนาด 20 และ 21 นิ้ว
“ความร่วมมืออันยาวนานของเรากับ Lamborghini มีพื้นฐานมาจากความมุ่งมั่นร่วมกันในด้านนวัตกรรม ความเป็นเลิศ และสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง” คุณ Radoslaw Bolkowski รองประธานฝ่ายขาย
ยางรถยนต์สำหรับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ Bridgestone EMEA กล่าว “ทีมงานของเราพบกับความท้าทายในการออกแบบยางรถยนต์เพื่อช่วยปลดปล่อยสมรรถนะให้เครื่องยนต์ V12 อันทรงพลังที่สุดของ Lamborghini และพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ ซึ่งยางรถยนต์ Potenza Sport ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะนี้ช่วยในการควบคุมที่แม่นยำ การยึดเกาะที่เหนือระดับ และประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นใจ
เพื่อยกระดับสมรรถนะอันโดดเด่นของ Lamborghini Fenomeno ได้อย่างลงตัวทั้งบนท้องถนนและบนสนามแข่ง”
“สำหรับ Lamborghini แล้ว การออกแบบและสมรรถนะเป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน และกับบริดจสโตน เราเป็นพันธมิตรที่เข้าใจทั้งสองด้านนี้อย่างแท้จริง” คุณ Christian Mastro ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Lamborghini กล่าว “ยางรถยนต์คือองค์ประกอบสำคัญต่อสมรรถนะการขับขี่ของซูเปอร์คาร์ นอกเหนือจากข้อมูลด้านเทคนิคแล้ว 70% ของการพัฒนาสมรรถนะในรถเหล่านี้มาจากนวัตกรรมของยางรถยนต์
ที่ใช้ แน่นอนว่ายางรถยนต์ Potenza Sport ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะจาก Bridgestone
ช่วยยกระดับการขับขี่ให้ Lamborghini Fenomeno และเสริมสมรรถนะในด้านความเร็วและปลดปล่อยพลัง
ได้อย่างสุดขีด”
พันธมิตรพัฒนายางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับซูเปอร์คาร์ทุกรุ่นของ Lamborghini
Lamborghini Fenomeno เป็นความร่วมมือครั้งล่าสุดในความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Lamborghini กับ “พันธมิตรร่วมพัฒนาด้านเทคนิคอย่างเป็นทางการ” ของ Bridgestone ตลอดระยะเวลา 5 ปี แห่งความร่วมมือ Bridgestone ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรพัฒนายางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับซูเปอร์คาร์ทุกรุ่นของ Lamborghini ได้แก่ Huracán STO, STJ, Tecnica, EVO, Sterrato, Lamborghini Revuelto,
Lamborghini Temerario และล่าสุดกับ Lamborghini Fenomeno
Bridgestone ได้พัฒนาและผลิตยางรถยนต์พรีเมียมสำหรับ Lamborghini Fenomeno ในประเทศอิตาลี ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Virtual Tyre Development (VTD) ของ Bridgestone เทคโนโลยี VTD ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความยั่งยืนในกระบวนการพัฒนายางรถยนต์ โดยสามารถลดจำนวนยางรถยนต์ต้นแบบลงได้ประมาณ 200 เส้น ลดการทดสอบยานพาหนะจริงลงถึง 80% รวมถึงลดระยะเวลาการพัฒนายางรถยนต์ลงได้ถึง 50% นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยลดการใช้วัตถุดิบและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการพัฒนายางมาตรฐานติดรถยนต์ได้สูงสุดถึง 60%