วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 27, 2025
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกAuto Newsไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42

ไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42

-

  • บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่ และ บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ รุ่นฐานล้อยาว สร้างมาตรฐานใหม่แห่งการผจญภัยด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมดีไซน์ที่โดดเด่น ความสะดวกสบายเหนือระดับ และระยะทางการขับขี่ที่ไกลยิ่งขึ้น
  • มินิ คูเปอร์ เอสอี และ เอซแมน เอสอี โปรไฟล์ใหม่ ในรุ่นคลาสสิก ผนึกกำลังรุ่นตกแต่งพิเศษ JCW Aero Pack และ Aspen White Collection ตอกย้ำความโดดเด่นด้านดีไซน์
    ที่ผสานความสนุกในการขับขี่แบบ Go-Kart Feeling อันเป็นเอกลักษณ์ของ มินิ ตลอดมา
  • บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ มอบประสบการณ์ทัวริ่งขั้นสุด ผสมผสานสมรรถนะอัน
    ปราดเปรียวเข้ากับความสะดวกสบายเหนือระดับ เพื่อความสมบูรณ์แบบบนทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่
ราคา: 5,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู iX พร้อมออกเดินทางสู่การผจญภัยด้วยพลังงานไฟฟ้าครั้งใหม่ กับการเปิดตัวรุ่นย่อย iX xDrive45
M Sport ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดแบบรอบด้าน นับตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ไปจนถึง
ระยะทางการขับขี่และสมรรถนะที่เหนือกว่าเดิม

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูปราดเปรียวและน่าหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น ด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกรอบวาววับ ล้อมรอบเส้นสายที่จัดเรียงทั้งแบบแนวตั้งและทแยงมุม เสริมด้วยไฟขอบกระจังหน้าจากแพ็คเกจ BMW Iconic Glow ส่วนรูปทรงของตัวรถที่ดูภูมิฐานและแข็งแกร่ง ยกระดับไปอีกขั้นด้วยชุดแต่ง M Sport ที่เสริมเส้นสายให้ดูทรงพลัง นับตั้งแต่ช่องดักอากาศด้านหน้าไปจนถึงแผงสะท้อนแสงแนวตั้งที่ด้านท้าย นอกจากนี้ iX รุ่นใหม่นี้ยังมีสีตัวถังให้เลือกเพิ่มเติมอีก 5 สี ได้แก่สีน้ำเงิน Arctic Race metallic, เทา Dune Grey metallic, ดำ Carbon Black metallic, เงิน Space Silver metallic และขาว Alpine White solid จับคู่อย่างลงตัวกับการตกแต่งที่หรูหราภายในห้องโดยสาร ด้วยเบาะหนังและผิวหน้าแผงคอนโซลในโทนสีน้ำตาลจากชุดแต่ง Design Suite Castanea หรือสีดำโฉบเฉี่ยวในชุดแต่ง Design Suite Amido

ความสปอร์ตจากชุดแต่ง M Sport ไม่ได้จบอยู่แค่ภายนอกตัวรถ แต่ยังสัมผัสได้จากภายในห้องโดยสารอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยพวงมาลัยหนังแบบ M และวัสดุตกแต่งภายในโทนสี M Dark Silver ตัดกับเพดานหลังคาสี Anthracite ให้บรรยากาศของความหรูหราและสง่างามในทุกมุมมอง และเมื่อเปิดประตูรถ บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่ ก็พร้อมต้อนรับคุณอย่างพิเศษสุดด้วยภาพแอนิเมชันแบบใหม่บนจอโค้ง BMW Curved Display และลวดลายกราฟฟิกจากระบบไฟ Welcome Light Carpet ส่วนความสะดวกสบายก็เหนือชั้นขึ้นเช่นกัน ด้วยการรองรับเทคโนโลยี BMW Digital Key Plus เต็มรูปแบบ เพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้กลายเป็นกุญแจรถอัจฉริยะ โดยตัวรถจะปลดล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเดินเข้ามาใกล้ พร้อมเปิดระบบไฟ Welcome Light อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งยังสามารถแชร์สิทธิ์การเข้าใช้งานรถกับคนที่คุณไว้ใจได้สูงสุดถึง 17 คนอีกด้วย

ภายใต้รูปลักษณ์ที่เหนือระดับแบบรอบด้านนี้ บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมกับสมรรถนะและระยะทางการขับขี่ที่เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ส่งพละกำลังเพิ่มขึ้นจาก 240 กิโลวัตต์ / 326 แรงม้า ในรุ่น iX xDrive40 เดิม เป็น 300 กิโลวัตต์ / 408 แรงม้า ขณะที่แรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 630 นิวตันเมตร เป็น 700 นิวตันเมตร ดังนั้น iX รุ่นใหม่นี้จึงมีการตอบสนองที่ฉับไวยิ่งขึ้น โดยสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.1 วินาที ขณะที่ความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจาก 76.6 kWh เป็น 100.4 kWh ส่งผลให้ระยะทางขับขี่สูงสุดตามมาตรฐาน WLTP เพิ่มขึ้นจาก 425 กิโลเมตร เป็น 602 กิโลเมตร

บนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive45 M Sport ใหม่ มอบความสมดุลที่ลงตัวระหว่างความแม่นยำและความนุ่มนวล ระบบบังคับเลี้ยวแบบสี่ล้อ (Integral Active Steering) ที่ติดตั้งเพิ่มเข้ามาช่วยให้ล้อหลังสามารถเลี้ยวได้ เสริมทั้งความคล่องตัวที่ความเร็วต่ำและความนิ่งของตัวรถขณะใช้ความเร็วสูง ช่วงล่างแบบถุงลม Adaptive 2-axle air suspension สามารถปรับระดับความสูงของรถได้ตามโหมดการขับขี่ เพื่อความนุ่มนวลและสะดวกสบายสูงสุดใน
ทุกสถานการณ์ ภายในห้องโดยสารที่อยู่เหนือล้อขนาด 21 นิ้วแบบ M ส่วนระบบช่วยการขับขี่ Driving Assistant Plus และระบบช่วยจอด Parking Assistant Plus ยังช่วยให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่าย ด้วยฟังก์ชันอย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Active Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยเบรก และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ เจ้าของรถยังสามารถเลือกอัปเกรดความสะดวกไปอีกขั้นผ่าน ConnectedDrive Upgrades ด้วยการเลือกซื้อแพ็คเกจ Parking Assistant Professional ที่เพิ่มฟังก์ชันการควบคุมรถเข้าช่องจอดจากทางไกลและระบบช่วยเหลือขณะขับเข้าช่องจอด

ในกรณีที่ยางรั่ว ชุดปะยางฉุกเฉิน BMW Tyre Repair Kit Plus ใหม่ จะช่วยให้คุณเดินทางต่อเพื่อเข้าซ่อมแซมที่ศูนย์บริการได้อย่างมั่นใจ ชุดปะยางแบบใช้ครั้งเดียวนี้จะอุดรอยรั่วและเติมลมยางให้กลับมาใช้งานได้ โดยสามารถขับขี่ต่อไปได้สูงสุด 200 กิโลเมตร ที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะต้องเข้าศูนย์เพื่อทำการปะยางหรือเปลี่ยนยางใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่

ราคา: 2,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ ยกระดับการขับขี่สู่ระบบไฟฟ้าล้วน ด้วยดีไซน์ที่ได้รับการปรับแต่ง
ต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู X1 ในรุ่นมาตรฐาน และยังเพิ่มพื้นที่ภายในตัวรถให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยตัวรถที่ยาวขึ้นเป็น 4,616 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร หรือเท่ากับตัวรถยาวกว่า X1 รุ่นมาตรฐาน 116 มิลลิเมตร และ
ฐานล้อยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร ขนาดตัวรถที่เพิ่มขึ้นนี้ ผสมผสานกับบุคลิกที่บึกบึนและแข็งแกร่งในแบบของ SAV ได้อย่างลงตัว ทั้งยังโดดเด่นเตะตากว่าที่เคยด้วยกระจังหน้าแบบปิดโฉมใหม่ในทรงสามมิติ เข้าชุดกับไฟหน้า Adaptive LED ที่ทอดยาวไปยังด้านข้างของตัวรถ ส่วนเส้นสายด้านข้างตัวถัง ให้อารมณ์ความสปอร์ตและดุดันตลอดคัน ก่อนเติมความหรูด้วยชุดแต่ง M Sport ที่รวมถึงส่วนกรอบหน้าต่าง high-gloss Shadowline ที่เงาวับ จับสายตาได้ไม่แพ้ราวหลังคาอลูมิเนียมผิวด้านที่ทอดยาวอยู่ด้านบน และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในดีไซน์ Double-spoke Bicolour

ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ จึงมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ทั้งจากพื้นที่ที่กว้างขึ้น 81 มิลลิเมตรสำหรับการวางขา และ 107 มิลลิเมตรที่ระดับเข่า สำหรับผู้โดยสารเบาะหลัง รวมถึงตัวเบาะหลังที่บุโฟมนุ่มขึ้น พร้อมขยายความกว้างของตัวเบาะขึ้น 15 มิลลิเมตร ยกระดับความสบายในการนั่งได้ยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบช่วงล่างก็ผ่านการปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มความนุ่มสบายบนทุกเส้นทาง เบาะหลังของ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ ยังคงแบ่งสัดส่วนเป็น 3 ตอนแบบ 40:20:40 เช่นเดิม และสามารถพับลงได้เพื่อขยายพื้นที่เก็บสัมภาระจาก 490 ลิตรเป็น 1,600 ลิตร ระบบ Comfort Access 2.0 ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการปลดล็อกรถเมื่อเจ้าของรถเดินเข้ามาใกล้ และล็อกรถอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างตัวรถ เช่นเดียวกับระบบ BMW Digital Key Plus ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของรถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถ และปลดล็อกรถอัตโนมัติได้เพียงนำสมาร์ทโฟนเข้ามาใกล้ ส่วนหลังคากระจก Panorama Glass Roof ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์นี้ ก็เติมบรรยากาศให้ห้องโดยสารยิ่งรู้สึกโปร่งและโอ่อ่าขึ้นไปอีก

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ เอาใจผู้ขับขี่ไม่แพ้ผู้โดยสารด้วยพวงมาลัยหนังสไตล์ M พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครันจากแพ็คเกจ Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus (รวมระบบกล้องมองรอบคัน Surround View) พร้อมรองรับการอัปเกรดสู่ Parking Assistant Professional ที่เพิ่มความสามารถในการควบคุมการจอดรถได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และสามารถจดจำรูปแบบการจอดรถอัตโนมัติได้ถึง 10 แบบ รวมระยะทาง 600 เมตร พร้อมด้วยฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเลือกซื่อเพิ่มเติมได้ผ่าน BMW Connected Drive Store นอกจากนี้ iX1 eDrive20L M Sport ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 9 รุ่นล่าสุด ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานควบคุมได้ผ่านหน้าจอ Control Display ขนาด 10.7 นิ้ว พร้อมด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว และ BMW Head-Up Display ป้อนข้อมูลสำคัญให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบโดยไม่ต้อง
ละสายตาจากเส้นทางข้างหน้า ส่วนชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์จาก Harman Kardon พร้อมเติมความรื่นรมย์ให้กับทุกขณะของการเดินทาง

ระบบส่งกำลังแบบไฟฟ้าล้วน เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 เป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ ให้โลดแล่นบนท้องถนนด้วยการตอบสนองที่ฉับไวในทุกจังหวะ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ช่วยให้ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ใช้เวลาเพียง
8.6 วินาทีในการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขณะขับขี่ ฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric สร้างเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองที่ตอบสนองกับทุกการควบคุมส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 66.5 kWh มอบพลังงานไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการขับขี่เป็นระยะทางสูงสุด 402-433 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ทั้งยังรองรับการชาร์จระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟสูงสุด 130 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 32 นาที และเมื่อชาร์จไฟในระบบกระแสสลับ (AC) iX1 รุ่นนี้ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยี AC Charging Plus ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ ให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% ถึง 100% ได้ในเวลา 6 ชั่วโมง 45 นาที ลูกค้าที่เลือกเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 ใหม่ ยังสามารถเลือกชาร์จรถจากเครือข่ายสถานีชาร์จ BMW Charging Station ทั้งยังได้รับส่วนลด 20% เมื่อเติมเงินค่าชาร์จในแอป EVolt

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ ในสีดำ Carbon Black Metallic, ขาว Mineral White Metallic และสีใหม่ เทา Brooklyn Grey Metallic โดยทั้งสามสีมาพร้อมกับห้องโดยสารที่หุ้มเบาะด้วยวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศในสีน้ำตาล Castanea ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโทนสีใหม่เช่นกัน

มินิ คูเปอร์ เอสอี คลาสสิก ใหม่
ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว
: 1,555,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)

มินิ เอซแมน เอสอี คลาสสิก ใหม่
ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว :
1,755,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)

มินิ คูเปอร์ เอสอี เตรียมพาแฟนมินิหวนคืนสู่กลิ่นอายสุดคลาสสิกจากงานออกแบบและการใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมินิ สวยสะดุดตาด้วยรายละเอียดใหม่รอบคัน ทั้งกรอบกระจังหน้าสีดำ Piano Black หลังคาและฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ พร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว ลาย Parallel Spoke 2-Tone สะท้อนบุคลิกสุดสปอร์ตจากทุกมุมคงความเป็นมินิไว้เต็มเปี่ยมเช่นเคย

สำหรับ มินิ เอซแมน เอสอี ได้เข้าร่วมดีไซน์คลาสสิกด้วยการปรับแต่งรูปลักษณ์ด้วยกรอบกระจังหน้าสีดำ Piano Black พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Slide Spoke ที่สร้างความโดดเด่นสะดุดตาทุกมุมมอง

ไฮไลท์สำคัญของรุ่นคลาสสิกนี้ ยังนำทัพด้วย MINI Interaction Unit กับหน้าจอ OLED ทรงกลมที่พร้อมจับทุกสายตา ทำงานคู่กับฟังก์ชัน MINI Experience Modes อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อปรับบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ด้วยแสง สี และเสียง jingle ที่ออกแบบมาเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละโหมด ตอบรับกับทุกอารมณ์ในการขับขี่ อีกทั้งคงเอกลักษณ์กับการปรับรูปแบบไฟหน้าและไฟท้ายได้ 3 แบบ

มินิโปรไฟล์คลาสสิกทั้งสองรุ่นยังอัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ช่วยเสริมทั้งความปลอดภัยในทุกการเดินทางด้วยระบบ Driving Assistant ที่ประกอบด้วยระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot ระบบเตือนการออกนอกเลน Lane Change Warning และระบบเตือนการชนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง Collision Warning ซึ่งรวมถึงการคงความสะดวกสบาย ด้วยระบบ Parking Assistant ที่จะช่วยค้นหาช่องจอดที่เหมาะสมและสามารถช่วยถอยจอดรถแบบอัตโนมัติ ขณะที่ระบบ Digital Key Plus ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน เพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้เป็นกุญแจรถ พร้อมฟังก์ชันการสั่งงานอย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันมินิ (MINI App)

มินิโปรไฟล์คลาสสิกทั้งสองรุ่น ยังคงขับเคลื่อนด้วยขุมพลังระบบไฟฟ้าล้วนที่ผ่านการพิสูจน์สมรรถนะมาแล้วบนหลากหลายเส้นทาง นำโดยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร มอบสมรรถนะและการตอบสนองที่ฉับไว โดย มินิ คูเปอร์ เอสอี คลาสสิก ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.7 วินาที และมีระยะทางขับขี่สูงสุด 400 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ในขณะที่ มินิ เอซแมน เอสอี มีระยะทางขับขี่ถึง 405 กิโลเมตร ทั้งสองรุ่นสามารถทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนชุดแบตเตอรี่รองรับการชาร์จกระแสตรง (DC) ได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ และชาร์จกระแสสลับ (AC) ที่ 11 กิโลวัตต์

มินิ คูเปอร์ เอสอี คลาสสิก มาพร้อมสีขาว Nanuq White เงิน Melting Silver แดง Chili Red และน้ำเงิน Blazing Blue สำหรับ มินิ เอซแมน เอสอี คลาสสิก พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ในสีขาว Nanuq White เงิน Melting Silver ส้ม Rebel Red และน้ำเงิน Blazing Blue

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แอโร่แพ็ค MINI JCW Aero Pack ใหม่
ราคา: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)
พิเศษราคาชุดแต่ง 200,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คอนเวิร์ตทิเบิล แอโร่แพ็ค MINI JCW Convertible Aero Pack ใหม่
ราคา: 3,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)
พิเศษราคาชุดแต่ง 131,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ยังคงสานต่อตำนานแห่งสมรรถนะและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมยกระดับความสปอร์ต
ขึ้นอีกขั้นด้วยการตกแต่งชุดแอโรไดนามิค JCW Aero Pack สุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยแพ็คเกจชุดแอโรไดนามิคนี้จะเพิ่มความสปอร์ต โดดเด่น และสร้างรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวอย่างลงตัว ให้กับไลน์อัพ JCW ทั้งในรุ่นมาตรฐานและรุ่นเปิดประทุน

อุปกรณ์เสริมใน JCW Aero Pack ประกอบด้วยล้อในดีไซน์ JCW Rallye สี Frozen Midnight Grey เข้าชุดกับวิงเล็ทที่ซุ้มล้อหน้า-หลัง บริเวณหน้ารถ ติดตั้ง JCW Tow Strap ที่ฝั่งขวาของกระจังหน้า พร้อมด้วยฝาครอบกระจกมองข้าง JCW ในโทนสีดำ-แดง เติมเต็มอารมณ์ความสปอร์ตในทุกองศา มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่น 3 ประตู แต่งท้ายรถด้วยสปอยเลอร์ JCW และชุดแต่งเสา C โดดเด่นด้วยโลโก้ JCW สีแดง พร้อมด้วยแผง Diffuser ใต้กันชนหลังที่แสดงถึงสมรรถนะสุดเร้าใจจากมินิตัวแรงคันนี้

จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ทั้งสองรุ่น ยังคงความแรงเต็มพิกัดไว้เช่นเคย ด้วยที่สุดแห่งสมรรถนะจากจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้พละกำลัง 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า พร้อมแรงบิด 380 นิวตันเมตร โดยรุ่น 3 ประตูสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.1 วินาที ในขณะที่รุ่นเปิดประทุนทำเวลาได้ที่ 6.4 วินาที นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ช่วงล่างแบบ Adaptive suspension และระบบ Driving Assistant Plus มาพร้อมกับฟังก์ชัน Adaptive cruise control ช่วยอำนวยความสะดวกสบายไปพร้อมกัน ระบบ Parking Assistant Plus ที่มาพร้อมระบบกล้องรอบทิศทาง 360 องศา (Surround View System) และกล้องบันทึกขณะขับขี่ ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon จัดเต็มกับลำโพง 12 ตำแหน่ง กำลังขับรวม 365 วัตต์ และเบาะนั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมแอคทีฟฟังก์ชันเฉพาะฝั่งผู้ขับ ที่สามารถเลือกรูปแบบการนวดเพื่อการผ่อนคลายขณะขับขี่ได้ตามต้องการ สร้างประสบการณ์ความสนุก เร้าใจในทุกการขับขี่ตามแบบฉบับมินิอย่างแท้จริง

ชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ JCW Aero Pack พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ โดยมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ มาในสีแดง Chili Red ส่วนรุ่นเปิดประทุน เตะตาด้วยสีเหลือง Sunny Side Yellow

มินิ เอซแมน เอสอี ไฮทริม Aspen White Collection

ราคา: 1,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)
พิเศษราคาชุดแต่ง 88,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

มินิ เอซแมน เอสอี กลับมาเยือนงานมหกรรมยานยนต์ด้วยชุดแต่งใหม่ที่เสริมความเท่ไปอีกระดับกับ Aspen White Collection ที่เติมเสน่ห์ให้ มินิ เอซแมน เอสอี ยิ่งพิเศษกว่าที่เคย

มินิ เอซแมน เอสอี Aspen White Collection เป็นรุ่นไฮทริมตกแต่งด้วยชุดแต่งที่สร้างเอกลักษณ์ เพิ่มความโดดเด่นด้วยชุดดีคอลสีขาว Heritage in Aspen White รอบคัน พร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แบบ JCW Rallye Spoke ในโทนสีทอง Vibrant Silver ผสมผสามกับตัวถังสีแดง Chili Red และหลังคาสีขาวอย่างลงตัว

สำหรับห้องโดยสารของ มินิ เอซแมน เอสอี Aspen White Collection ยังคงบรรยากาศความสปอร์ต ด้วยเบาะนั่งสปอร์ต JCW พร้อมระบบปรับไฟฟ้าและฟังก์ชันนวด หลังคากระจก Panorama Glass Roof พร้อมแสง ambient light ขณะที่ Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus มอบความสะดวกสบายและอุ่นใจขณะเดินทางด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครัน ด้วยระบบ Adaptive Cruise control ที่ช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาช่องเดินรถ ระบบกล้องรอบทิศทาง 360 องศา (Surround View System) ช่วยให้การจอดรถเป็นเรื่องง่าย พร้อมถอยจอดได้อัตโนมัติ ส่วนชุดเครื่องเสียง Harman Kardon กำลังขับ 315 วัตต์ เติมเต็มบรรยากาศบนท้องถนนให้คึกคักกว่าเดิม พร้อมแต้มด้วยสีสันจากหน้าจอ OLED ทรงกลมด้านหน้าและฟังก์ชัน MINI Experience Modes ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับแสง สี เสียงให้ตอบสนองต่อความต้องการขับขี้ได้อย่างลงตัว

มินิ เอซแมน เอสอี Aspen White Collection ขับสนุกด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.1 วินาที ส่วนระยะทางขับขี่สูงสุด 405 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และห้องโดยสารที่กว้างขวางรองรับสัมภาระได้สูงสุด 1,005 ลิตรทำให้ มินิ เอซแมน เอสอี พร้อมสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ให้ทุกวันมีความสนุกในการขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ (Impulse)
ราคา: 1,439,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ (Option 719 Camargue)
ราคา: 1,569,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ พัฒนาขึ้นเพื่อมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่ทางไกลในสไตล์ทัวริ่งพันธุ์แท้ พร้อมโลดแล่นไปกับคุณด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่เพรียวลมกว่า RT รุ่นใหญ่คันอื่นๆ เพื่อให้คล่องตัวและง่ายต่อการควบคุมมากยิ่งขึ้น

แชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีหัวใจสำคัญเป็นเฟรมหลักของตัวถังที่ทำจากเหล็กกล้า ทั้งมีขนาดกะทัดรัดกว่าและแข็งแกร่งกว่า RT รุ่นก่อน เมื่อนำตัวถังนี้ไปจับคู่กับเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนทั้งหมดที่พัฒนาขึ้นให้มีขนาดเล็กลงเช่นกัน จึงทำให้ R 1300 RT ใหม่ มีจุดศูนย์ถ่วงที่พอดีกับรูปทรงของตัวรถมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ควบคุมรถได้แม่นยำและมั่นคงกว่าเดิม ส่วนแผงบังลมด้านข้างตัวรถสามารถปรับองศาการทำมุมได้ เพื่อเลือกระหว่างความเย็นสบายจากกระแสลมที่ไหลผ่านตัว หรือกางออกเพื่อเบนกระแสลมและหยดฝนให้ออกห่างผู้ขับขี่ ขณะที่แผงบังเครื่องยนต์ด้านข้างช่วยปกป้องส่วนรองเท้าและข้อเท้าให้ไม่โดนน้ำ แม้จะต้องออกเดินทางกลางฝน

ทั้งแฮนด์รถ ที่วางเท้า และเบาะนั่งของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ ผ่านการปรับแต่งและวางตำแหน่งให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ขับขี่ โดยขยับตัวผู้ขับมาทางส่วนหน้ารถมากขึ้นกว่าใน RT รุ่นก่อนๆ เพื่อให้ส่วนหน้ารถตอบสนองต่อทุกการควบคุมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เสริมให้ตัวรถคล่องแคล่วกว่าในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยที่ยังคงความแม่นยำและนุ่มนวลไว้เช่นเคยสำหรับวันสบายๆ ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระในรุ่นนี้ มีเคสเก็บของขนาด 27 ลิตรสองชิ้นติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยแต่ละเคสสามารถปรับขยายพื้นที่ภายในให้มีความจุได้สูงสุด 33 นิ้ว ซึ่งจะทำให้ตัวรถกว้างขึ้นเล็กน้อย ส่วนท็อปเคสด้านบน มีมาให้สองใบเช่นกันที่ความจุ 39 และ 54 ลิตร ขณะที่รุ่นพิเศษ Option 719 Camargue มีท็อปเคสขนาดใหญ่พร้อมพนักพิงติดระบบทำความร้อนเพิ่มมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย

ตัวถังที่ออกแบบใหม่ พร้อมด้วยคุณสมบัติครบครันทั้งหมดนี้ ติดตั้งอยู่บนระบบช่วงล่างที่ใช้เทคโนโลยี Dynamic Chassis Adaption (DCA) ซึ่งใช้ระบบไฟฟ้าปรับความแข็งของสปริงและระบบกันกระเทือน ทั้งยังปรับตั้งค่าตัวรถให้ทำมุมเอียงกับพื้นได้สองโหมด โดยโหมดมาตรฐานจะตั้งค่ามาให้แผงคอของตัวรถขนานไปกับพื้นถนน เพื่อเสริมความนุ่มนวลและมั่นคงในการขับขี่ ส่วนโหมดที่สองจะตั้งค่าให้ตัวรถยกสูงขึ้น โดยช่วงท้ายรถจะยกขึ้นสูงกว่าส่วนหน้า พร้อมด้วยสปริงและระบบกันกระเทือนที่ปรับให้แข็งกว่าโหมดแรก ซึ่งทำให้ตัวรถตอบสนองกับการควบคุมได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น

ด้านหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ มีชุดไฟหน้า LED ที่ส่องสว่างเพื่อเสริมความปลอดภัยในทุกเส้นทาง พร้อมด้วยแพ็คเกจ Headlight Pro ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับตลาดไทย เพิ่มความสามารถในการปรับองศาของไฟหน้าให้ก้มหรือเงยตามมุมกดของตัวถังรถ จึงช่วยให้ไฟหน้ารักษาระยะทางการส่องสว่างให้สูงสุดในทุกสถานการณ์การขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นขณะเร่งความเร็ว ชะลอความเร็ว หรือการปรับองศาตัวรถผ่านระบบช่วงล่าง DCA

นอกจากตัวถังที่ออกแบบใหม่แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ยังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่เช่นกัน โดยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 1,300cc รุ่นนี้นับเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดจากสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู ให้พละกำลังสูงสุดที่ 107 กิโลวัตต์ / 145 แรงม้า ที่แรงบิด 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ตัวนี้ทำงานร่วมกับชุดเกียร์ 6 สปีดและคลัทช์แบบเปียกที่มีฟังก์ชันป้องกันล้อหลังล็อกมาในตัว แต่ยังขับง่ายด้วยระบบ Shift Assistant Pro ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องใช้งานคลัทช์ ส่วนในรุ่นพิเศษ Option 719 Camargue เสริมความสะดวกไปอีกขั้นด้วยระบบ Automatic Shift Assistant (ASA) ที่ควบคุมทั้งคลัทช์และเกียร์แบบอัตโนมัติในทุกขั้นตอน

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ ติดตั้งแพ็คเกจ Riding Modes Pro มาให้เป็นมาตรฐาน จึงมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 โหมด เริ่มจากโหมด “Rain” และ “Road” ที่ปรับการทำงานของตัวรถให้เข้ากับสภาพถนนและอากาศในขณะนั้น โหมด “Eco” ที่นำเทคโนโลยี BMW ShiftCam มาช่วยเค้นประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้เดินทางต่อไปได้ไกลที่สุดด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว และโหมด “Dynamic” และ “Dynamic Pro” ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานคู่กับช่วงล่างเทคโนโลยี Dynamic Chassis Adaption (DCA) สามารถปรับความสูงของตัวรถ ความแข็งของสปริง และระบบกันสะเทือน เพื่อความคล่องตัวสูงสุดขณะขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ รับรองความนุ่มนวลและปลอดภัยบนท้องถนนด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Cruise Control (DCC) พร้อมฟังก์ชันช่วยเบรก ระบบ Active Cruise Control (ACC) ที่สามารถกำหนดระยะห่างจากรถคันหน้าได้ ระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning (FCW) และระบบช่วยการมองด้านข้าง Side View Assist (SVA) ที่ใช้เรดาร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางทั้งด้านหน้าและด้านหลังรถ ฟังก์ชันทั้งหมดนี้ พร้อมด้วยระบบนำทางและการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ สามารถเรียกใช้งานได้ผ่านหน้าจอ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ ติดตั้งชุดเครื่องเสียง Audio System ที่ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยชุดลำโพงทิ่ติดตั้งมาในตัว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารของผู้ขับขี่ด้วยเช่นกัน ส่วนรุ่นพิเศษ Option 719 Camargue ยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงไปอีกขั้นด้วยชุดเครื่องเสียงจากแพ็คเกจ Audio Pro ด้วยชุดลำโพงคุณภาพสูงที่สามารถควบคุมเสียงเบสและเทรเบิลแยกจากกันได้ สามารถเซฟการตั้งค่าเสียงเป็นโปรไฟล์ได้ และมีฟังก์ชัน Dynamic Volume Control ที่ปรับระดับเสียงเพลงแบบอัตโนมัติตามความจำเป็นในแต่ละสถานการณ์

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 RT ใหม่ พร้อมให้นักบิดทั่วไทยเป็นเจ้าของได้ในสองรุ่นย่อย ได้แก่รุ่น Impulse กับลุคโฉบเฉี่ยวสะดุดตาในสีน้ำเงิน Racing Blue metallic และล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว และรุ่นพิเศษ Option 719 Camargue ที่สง่างามไปอีกระดับในสีน้ำเงินอมเขียว Blue Ridge Mountain metallic ชุดแต่ง Option 719 Shadow Milled Parts ล้อแบบสปอร์ตในขนาดเดียวกัน ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Automated Shift Assistant (ASA) ชุดเครื่องเสียงแบบอัปเกรด Audio Pro ไฟหน้า LED พิเศษเพิ่มอีกหนึ่งดวง และท็อปเคสขนาดใหญ่อีกหนึ่งใบ

 

- Advertisment -

Must Read