Japan Mobility Show หรือที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันในชื่อ Tokyo Motor Show งานโชว์รถและนวัตกรรมยานยนต์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตะวันออก จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 47 ในปี 2023 โดยหลังจากว่างเว้นการจัดงานไป 1 ครั้ง ในช่วงปี 2021 ด้วยการระบาดของ Covid 19 การกลับมาในครั้งนี้ของงาน Japan Mobility Show จึงเต็มไปด้วยไฮไลท์จากแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ ที่พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ และนวัตกรรมในโลกยานยนต์อย่างคับคั่ง
Honda ถือเป็นแบรนด์แบรนด์ลำดับต้นๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้มาชมงาน Japan Mobility Show 2023 อย่างคับคั่ง ตลอด 10 วันที่ผ่านมา โดยนวัตกรรมต่างๆ ที่ค่าย Honda นำมาเสมอในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนถึงแนวสโลแกนระดับสากล The Power of Dreams – How we move you ที่ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า “ความฝันของพนักงาน Honda ทุกคน เป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่ Honda มาโดยตลอด ในขณะที่หลากหลายผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อน และบริการที่ฮอนด้าสร้างสรรค์ขึ้นมา ด้วยพลังแห่งความฝันเหล่านี้ สามารถนำพาผู้คนไปยังที่ต่างๆ ขับเคลื่อนหัวใจของผู้คน และช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความฝันของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่อีกมากมายในอนาคต” ดังนั้น Honda จึงได้ถ่ายทอดความฝันของบริษัทออกมาผ่านผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อน บริการ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถ “ก้าวข้าม ขีดจำกัดต่างๆ” และ “เพิ่มพูน ศักยภาพและโอกาส” นั่นเป็นที่มาของ การเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมชมงาน ได้สัมผัสอนาคต รวมถึงจินตนาการที่ไร้ขอบเขตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ภายในงาน Japan Mobility Show 2023 ซึ่งเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ภายในบูธ Honda จึงเนรมิตบรรยากาศด้วยความคิดริเริ่ม รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่ Honda ทำสำเร็จมาจนถึงปัจจุบันมาแสดงภายในงาน เพื่อให้ผู้คนได้จินตนาการถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้
ด้วยแนวความคิดแห่งการ ก้าวข้าม และการ เพิ่มพูน ไฮไลท์ที่ถูกนำมาว์ภายในบูธของ Honda จึงต้องสะท้อนแนวความคิดนี้ออกมาให้เห็นภาพมากที่สุด โดยภายในงาน ทางค่ายนำกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาโชว์อย่างหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน สู่การก้าวข้ามไปอีกขั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วย รถคอนเซ็ปท์ในรูปแบบต่างๆ ทั้ง 4 ล้อ และ 2 ล้อ ให้เลือกชมกันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
SUSTAINA-C Concept และ Pocket Concept
ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลก สำหรับ Concept Model ของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เสมือนมาแบบ “แพ็คคู่” ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อสะท้อนแนวคิดในการก้าวข้ามข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด โดยใช้วัสดุรีไซเคิล ผลิตจากเรซินอะคริลิก ที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม
Honda CI-MEV
โมเดลต้นแบบของรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 2 ที่นั่ง 4 ล้อ ผสานการใช้เทคโนโลยี Cooperative Intelligence (CI) และเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เน้นสำหรับการเดินทางระยะไกล ในเมืองที่ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้อีกไม่น้อย
SC e: Concept
อีกหนึ่งรถต้นแบบของสองล้อพลังงานไฟฟ้าที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลก ตัวรถออกแบบเพื่อช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามขีดจำกัดด้านเวลา โดยมีการติดตั้งแบตเตอรี่ Honda Mobile Power Pack e: จำนวน 2 ยูนิต ซึ่งเป็นแบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ตามจุดบริการ โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอชาร์จ อีกทั้งเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมและขยายการใช้พลังงานหมุนเวียน โดย SC e: Concept ยังมอบสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง นุ่มนวล มีเอกลักษณ์ในสไตล์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่ง่ายและสะดวกสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ทางค่ายยังมีไฮไลท์ Honda Specialty Sports Concept รถต้นแบบสปอร์ตพลังไฟฟ้า ที่เน้นความสนุก คล่องตัวในการเดินทาง ด้วยระบบขับขี่แบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังเป็นรถที่พร้อมมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งนอกจากรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แล้ว สิ่งที่ Honda นำเสนออย่างต่อเนื่องก็คือ Honda Jet รวมถึง Honda eVTOL ที่พร้อมตอบโจทย์สำหรับการเดินทางทางอากาศ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสถานที่และระยะทาง พร้อมให้ผู้มาชมงาน Japan Mobility Show 2023 ได้สัมผัสฟีลลิ่งภายในห้องโดยสารของ Honda Jet Elite II เครื่องบินเจ็ตขนาดเล็กรุ่นล่าสุดของ Honda อีกด้วย
Honda e:Ny1 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
สิ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้รถคอนเซ็ปท์ในบูธ Honda คงหนีไม่พ้นรถที่เตรียมทำตลาด ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ที่กำลังจับตาดูรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากค่ายญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งภายในงาน Japan Mobility Show 2023 ทางค่ายได้นำ Honda e:Ny1 มาอวดโฉมด้วยเช่นกัน โดยตัวรถ…ถือเป็นรถ EV พิกัด B-Segment ที่ได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์ม e:N Architecture F มาพร้อมมิติตัวถัง ความกว้าง x ความยาว x ความสูง อยู่ที่ 1,790 x 4,387 x 1,584 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,607 มม. ตัวรถใส่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเน้นให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถสัมผัสเอกลักษณ์ในการขับขี่ของ Honda ได้อย่างเต็มอิ่ม โดยยังคงไม่ทิ้งความอเนกประสงค์สำหรับการใช้งานในรูปแบบครอบครัว ด้วยพื้นที่สัมภาระถึง 361 ลิตร และจะเพิ่มสูงสุดถึง 1,176 ลิตร เมื่อพับเบาะ
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Honda e:Ny1 คือ การเลือกวางแบตเตอรี่ไว้ใต้พื้นรถ เพื่อไม่ให้รบกวนพื้นที่ภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังเลือกใช้วัสดุเกรดคุณภาพในการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นคอนโซล ที่รวมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 15.1 นิ้ว เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งคนในรถสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงเบาะนั่งแบบพรีเมี่ยมที่ช่วยเติมความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง
Honda e:Ny1 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 68.8 kWh รองรับการเดินทางต่อชาร์จได้ไกลถึง 412 กม. ตามาตรฐาน WLTP อีกทั้งยังสามารถชาร์จจาก 10-80% ได้ในเวลาเพียง 45 นาที เท่ากับว่าในการชาร์จทุกๆ 11 นาที จะสามารถเดินทางได้ไกลถึง 100 กม. และสำหรับการชาร์จแบบ Quick Charge ส่วนการชาร์จปกติ สามารถชาร์จ 10-80% ได้ในเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ด้านระบบความปลอดภัยและตัวช่วยการขับขี่อย่าง Honda SENSING เน้นการประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพด้วยชุดกล้องและโซนาร์ถึง 12 จุด ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัย และสะดวกสำหรับการเดินทางได้มากขึ้น
Next Gen…Honda SENSING
เมื่อพูดถึงระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ของแบรนด์ Honda แน่นอนว่าหลายๆ คนคงนึกถึง Honda SENSING อย่างแน่นอน นับตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ Honda SENSING ล้วนได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ ปัจจุบัน ถูกพัฒนาให้เป็น Honda SENSING 360 และ Honda SENSING Elite ซึ่งทั้งคู่ ล้วนถูกพัฒนาเพื่อช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยมีเป้าหมายด้วยการลดลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ด้วยการติดตั้ง Honda SENSING ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด และจะติดตั้ง Honda SENSING 360 ให้กับรถยนต์ในตลาดหลักทั้งหมดภายในปี 2030 ด้วย
AI & Safety Network เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยขั้นสุด
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากการออกแบบนวัตกรรมยานยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูง คือ การพัฒนาระบบความปลอดภัยไปควบคู่กัน โดยภายในงาน Japan Mobility Show 2023 ค่าย Honda ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ประมวลผลผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการสื่อสาร โดยเป็นการผสานระหว่าง AI ที่จะช่วยลดความผิดพลาดและความเสี่ยงในการขับขี่ ร่วมกับเทคโนโลยีเครือข่ายสนับสนุนความปลอดภัย ที่เชื่อมต่อผู้ใช้ถนนทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน โดยทั้งผู้คนและผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนทั้งหมด จะถูกเชื่อมในระบบคมนาคม และจะสื่อสารกับเพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุในอนาคต โดย Honda ตั้งเป้าไว้ว่า จะลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุของ Honda ให้เป็นศูนย์ในปี 2050
ทั้งหมดที่เราได้สัมผัสภายในบูธ Honda ที่งาน Japan Mobility Show 2023 ล้วนเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์ Honda ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงองประกอบต่างๆ ไปควบคู่กัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่ง Honda ต้องการทำเสนอ เชื่อได้ว่า…ในอนาคตอันใกล้ เราคงมีโอกาสได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เติมเต็มทุกการใช้ชีวิต ด้วยผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ Honda อีกแน่นอน