
- Flying Spur 3 รุ่นพิเศษ เฉลิมฉลองการถือกำเนิดยนตรกรรมซีดานระดับตำนานของเบนท์ลีย์
- ครบรอบ 60 ปี T Series รถยนต์เบนท์ลีย์คันแรกที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก
- ครบรอบ 40 ปี Turbo R จุดเริ่มต้นการกลับมาของเบนท์ลีย์
- ครบรอบ 20 ปี Continental Flying Spur ปี 2548 ยนตรกรรมเบนท์ลีย์แบบซีดานคันแรกที่ทำความเร็วได้สูงถึงกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- Flying Spur รุ่นออกแบบพิเศษได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยเฉดสีและการตกแต่งแบบรุ่นดั้งเดิมผ่านการออกแบบเฉพาะบุคคลโดยมูลินเนอร์แผนกพิเศษของเบนท์ลีย์
- ยนตรกรรมรุ่นคลาสสิกทั้ง 3 รุ่นยังคงได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดีในสภาพพร้อมใช้งานใน Bentley Heritage Collection
(ครูว์ 22 ตุลาคม 2568) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เฉลิมฉลองปีแห่งการครบรอบการถือกำเนิดของสุดยอดยนตรกรรมแบบซีดาน 3 เจเนอเรชันของเบนท์ลีย์ด้วยการเผยโฉม รุ่น Flying Spur กับการตกแต่งพิเศษที่สะท้อนเอกลักษณ์ของ 3 สุดยอดยนตรกรรมแห่งตำนานในรุ่น T Series ปี 2508, Turbo R ปี 2528, และ Continental Flying Spur ปี 2548 ที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนิยามของยนตรกรรมแบบซีดานของเบนท์ลีย์ด้วยวิวัฒนาการที่ไม่หยุดยั้งสู่การถือกำเนิดรุ่น Flying Spur ในปัจจุบัน โดยเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษนี้ เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ (Bentley Mulliner) แผนกออกแบบเฉพาะบุคคลของเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ได้รังสรรค์ Flying Spur รุ่นปี 2568 จำนวน 3 คันเพื่อถึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นต้นแบบ สำหรับการรังสรรค์รถยนต์รุ่นใหม่ในแต่ละคันได้สื่อถึงแรงบันดาลใจ พร้อมกับแนวการออกแบบที่ร่วมสมัยเพื่อให้เข้ากับยุคใหม่ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการด้านการออกแบบตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ยนตรกรรมซีดานคลาสสิกทั้ง 3 รุ่นเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันรถยนต์เบนท์ลีย์ Bentley Heritage Collection จำนวน 50 คัน และเช่นเดียวกับยนตรกรรมรุ่นอื่นๆ ในคอลเลกชันคลาสสิก ยนตรกรรมทุกคันจะได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ณ โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ในเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ
T Series ปี 2508 ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมซีดาน
ยนตรกรรมคลาสสิก รุ่น T-Series เปิดตัวครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ปารีสเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2508 นับเป็นยนตรกรรมเบนท์ลีย์คันแรกที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อกที่ใช้สำหรับโครงสร้างเครื่องบินและรถยนต์สมรรถนะสูงแทนการใช้แชสซีและการประกอบตัวถังแบบแยกชิ้นในแบบรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่นก่อน รุ่น T-Series ที่ออกแบบโดย John Blatchley มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและโดดเด่น แม้ว่าตัวถังจะมีขนาดเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ก็มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตัวรถมาพร้อมกับเครื่องยนต์ รุ่น V8 ขนาด 6.2 ลิตร เจ้าของขุมพลัง 202 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงในเวลาเพียง 10 วินาทีเศษ และทำความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง รุ่น T-Series อยู่ในคอลเลกชัน Bentley Heritage Collection และถือเป็นรุ่น T-Series คันแรกที่ผลิตออกมา พร้อมกับหมายเลขตัวถัง 0001 โดยได้รับการบูรณะภายนอกใหม่ด้วยเฉดสีเทา Shell Grey แบบดั้งเดิม พร้อมภายในห้องโดยสารในเฉดสีน้ำเงิน และการตกแต่งด้วยวีเนียร์แบบ Burr Walnut
ส่งต่อเอกลักษณ์จากรุ่นสู่รุ่น
Flying Spur Azure มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ High Performance Hybrid สมรรถนะสูง 680 แรงม้า มอบสมรรถนะที่เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้า ในด้านรูปลักษณ์ที่สง่างาม ความประณีต และการให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทั้งสองรุ่นยังคงถ่ายทอดดีเอ็นเอร่วมกัน สำหรับในรุ่น T Series ตัวรถโดดเด่นด้วยนวัตกรรมต่างๆ เช่น การติดตั้งซับเฟรม ‘Vibrashock’ และระบบควบคุมความสูงของตัวรถแบบไฮดรอลิก โดยรุ่น Flying Spur Azure ยังมอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารด้วยระบบช่วงล่างแบบ Bentley Dynamic Ride และเบาะโดยสารแบบ Bentley Wellness พร้อมฟังก์ชั่นการนวดหลากหลายรูปแบบ
ในด้านรูปลักษณ์ Flying Spur Azure มาในเฉดสีเทา Shell Grey สะท้อนเอกลักษณ์ของรุ่น T Series พร้อมกับล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วสามแฉกหกก้านเช่นเดียวกับรุ่นต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาใหม่โดยแผนกทำสีของเบนท์ลีย์ นอกจากนี้ กระจังหน้าโครเมียมแนวตั้งในรุ่น Azure ยังสะท้อนถึงรุ่น T Series โดยได้นำไปสู่การตกแต่งด้วยชิ้นส่วนโครเมียมเงางามตลอดความยาวของตัวรถเช่นเดียวกับรุ่นดั้งเดิม
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนังเฉดสีเทาอมฟ้าเป็นหลัก ซึ่งจับคู่สีให้เข้ากับภายในห้องโดยสารของ T Series รุ่นต้นแบบโดยเบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ พร้อมเสริมด้วยหนังเฉดสีดำ Beluga เป็นเฉดสีรองกับแผงหน้าปัด คอนโซล แผงประตู และโต๊ะพับที่รังสรรค์ขึ้นจากวีเนียร์แบบ Burr Walnut ด้วยลายไม้อันประณีต ระบบไฟ Mood Lighting ภายในห้องโดยสาร ระบบเสียง Naim for Bentley และจอแสดงผลแบบ Bentley Rotating Display เหล่านี้ คือ คุณสมบัติที่จะสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่อบอุ่นและคลาสสิก
Turbo R ปี 2528 กับมาตรฐานใหม่แห่งสมรรถนะ
Turbo R เปิดตัวครั้งแรกในปี 2528 ตัวรถมาพร้อมกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ Garrett AiResearch T04 ที่เพิ่มพละกำลังของเครื่องยนต์ V8 ขนาด 6¾ ลิตรเป็น 298 แรงม้า Turbo R มีอัตราเร่งที่เทียบเท่ากับซูเปอร์คาร์ ในขณะเดียวกันก็มอบความสะดวกสบายและพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้โดยสารที่รองรับสูงสุดได้ถึง 5 คน Turbo R สามารถทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ในขณะที่อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงใช้เวลาเพียง 7.0 วินาที และที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความแข็งแกร่งและความทนทานของช่วงล่างที่เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยหลังจากเปิดตัวไม่นาน Turbo R มีผู้ต้องที่ต้องการครอบครองที่ต้องรอนานถึง 9 เดือน นี่จึงพิสูจน์ให้เห็นถึงการกลับมาอีกครั้งของยนตรกรรมรุ่นนี้ ในฐานะยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางด้วยจำนวนการผลิต 4,111 คันในช่วงระยะเวลาการผลิต 9 ปี รุ่น Turbo R ในคอลเลกชัน Heritage เป็นรุ่นปี 2534 ในเฉดสีเขียว Brooklands Green พร้อมแถบสีเหลืองพาดตัวรถ ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนังเฉดสีเบจ Magnolia ขอบสีเขียว Spruce และวีเนียร์แบบ Burr Walnut
การถ่ายทอดต้นแบบแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูง
40 ปีหลังจาก Turbo R เปิดตัว ยนตรกรรม รุ่น Flying Spur Speed ยังคงสืบทอดต้นแบบยนตรกรรมกับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ที่ผสานเข้ากับความหรูหราแบบเหนือระดับ ตัวรถมาพร้อมกับเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงแบบ Ultra Performance Hybrid ที่จะมอบความเงียบสงบในโหมดไฟฟ้า (EV) ที่มีพิสัยการเดินทางได้ไกลถึง 76 กิโลเมตร พร้อมด้วยพละกำลังรวมกว่า 782 แรงม้าจากเครื่องยนต์ รุ่น V8 และมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะมอบสมรรถนะอันน่าตื่นเต้น โดยตัวรถสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 3.5 วินาที
เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์รังสรรค์ Flying Spur Speed ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ Turbo R จาก Heritage Collection ตัวรถตกแต่งด้วยเฉดสีเขียว Brooklands Green ซึ่งเป็นเฉดสีเดียวกับรุ่นในคอลเลกชันคลาสสิก โดยมีเส้นขอบตัวถังสีเหลือง Monaco Yellow และล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วในเฉดสีเทา พร้อมขอบล้อขัดเงา โลโก้ปรับระดับ และมาสคอต Flying B บนกระจังหน้าที่ผลิตจากสแตนเลสแบบเงาที่โดดเด่นในเวลากลางคืนด้วยคุณสมบัติเรืองแสง
ภายในห้องโดยสารของรุ่น Flying Spur Speed ได้รับแรงบันดาลใจจากภายในห้องโดยสารของ รุ่น Turbo R ที่ตกแต่งด้วยหนังเฉดสีขาว Linen เป็นสีหลัก และเฉดสีเขียว Cumbrian Green เป็นสีรองที่ตัดกัน แผงหน้าปัดยังคงรูปแบบด้วยวีเนียร์แบบ Walnut สีเข้มแบบทูโทนตัดกับวีเนียร์เปียโนเฉดสีเขียว Cumbrian Green โดยมีการตกแต่งด้วยเส้นโครเมียมคั่นระหว่างสองส่วนนี้ อีกทั้ง เฉดสีเหลือง Signal Yellow ยังปรากฏให้เห็นในรายละเอียดของโลโก้เบนท์ลีย์บนเบาะโดยสาร ขอบเบาะ พรมปูพื้น และบนพวงมาลัยเพื่อช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับเฉดสีของตัวถังภายนอก
Continental Flying Spur W12 ปี 2548
ยนตรกรรมแบบ 4 ประตูรุ่นแรกของยุค Volkswagen AG เปิดตัวในปี 2548 เพียง 2 ปีหลังจากการเปิดตัว รุ่น Continental GT ที่พลิกโฉมวงการ ชื่อรุ่นนี้เป็นการนำชื่อจากดีไซน์คลาสสิกของรถยนต์เบนท์ลีย์ รุ่น S1 Continental Flying Spur แบบ 4 ประตูที่ผลิตโดยเบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ ในปี 2501 กลับมาใช้ใหม่ โดยรุ่นใหม่นี้มีสมรรถนะใกล้เคียงกับ รุ่น Continental GT ด้วยการผสมผสานขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น W12 ขนาด 6.0 ลิตรเข้ากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและตัวถังแบบ 4 ประตูที่กว้างขวาง พร้อมมอบพละกำลังสูงสุด 558 แรงม้า และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำกว่า 0.31 Cd โดย Continental Flying Spur สามารถทำความเร็วสูงสุดกว่า 320 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงในระหว่างการทดสอบ แม้ว่าเบนท์ลีย์ มอเตอร์สจะระบุความเร็วสูงสุดไว้ที่ 310 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงก็ตาม
Continental Flying Spur คือ หนึ่งในคอลเลกชัน Bentley Heritage Collection โดยถือเป็น Continental Flying Spur คันแรกที่ออกจากสายการผลิต ณ โรงงานเมืองครูว์ในเดือนพฤษภาคม 2548 ในรุ่นพวงมาลัยขวา และตัวถังเฉดสีเขียว Cypress Green หมายเลขตัวถัง VIN 20001 สำหรับภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนังเฉดสีน้ำตาล Saddle เป็นหลัก และเฉดสีน้ำตาล Cognac เป็นเฉดสีรอง พร้อมด้วยการตกแต่งด้วยวีเนียร์ Burr Walnut รถยนต์คันนี้เพิ่งได้รับการจดทะเบียนและใช้งานบนท้องถนนเมื่อไม่นานมานี้จากเลขไมล์ 800 กิโลเมตร
สู่ยุคใหม่แห่งสุดยอดยนตรกรรมซีดาน
Flying Spur Speed ออกแบบโดยเบนท์ลีย์ มูลินเนอร์รุ่นนี้ถือเป็นการยกย่องจิตวิญญาณของ Continental Flying Spur รุ่นแรกที่ปรับโฉมให้เข้ากับปี 2568 ด้วยเฉดสีเขียว Cypress และล้ออัลลอยด์แบบ 10 ก้านขนาด 22 นิ้วในเฉดสีเทา Dark Grey Satin พร้อมกับการตกแต่งด้วยชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ Styling Specification รอบคัน และการตกแต่งด้วยแถบเฉดสีน้ำตาล Saddle

ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยงานฝีมือสั่งทำพิเศษจากเบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ด้วยหนังเฉดสีน้ำตาล Saddle เสริมด้วยเฉดสีเขียว Special Green ที่เข้ากับโทนเฉดสีภายนอก เฉดสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์นี้รังสรรค์ขึ้นโดยเบนท์ลีย์ มูลินเนอร์สำหรับรถยนต์รุ่นพิเศษโดยเฉพาะ พร้อมด้วยการใช้เป็นเฉดสีแบบคอนทราสต์กับลวดลายการเดินด้ายแบบรูปทรงเพชร และยังใช้กับโลโก้เบนท์ลีย์ บนพวงมาลัย และพรมจากมูลินเนอร์ นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารยังโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยแผงหน้าปัดแบบทูโทนด้วยการใช้วีเนียร์ Open Pore Dark Burr Walnut และวีเนียร์แบบ Burr Walnut พร้อมการตกแต่งด้วยเส้นลายเฉดสีเขียว Cypress Green ที่ตกแต่งไปตามช่องปรับอากาศด้านบนและแผงประตูห้องโดยสาร พร้อมด้วยการตกแต่งด้วยวีเนียร์แบบ Burr Walnut บนแผงประตูห้องโดยสารด้านหลัง
สำหรับผู้ที่สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองเวลาทดลองขับได้ที่ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V


