วันอังคาร, มีนาคม 18, 2025
spot_img
หน้าแรกAuto Newsไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46

ไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46

-

บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 หนึ่งในรถยนต์ตระกูลหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยูมาโดยตลอด พร้อมก้าวสู่อนาคตอีกขั้นกับบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ รถยนต์ซีดานปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราให้เข้ากันอย่างลงตัว ทั้งยังเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยการอัปเกรดทั้งแบตเตอรี่ ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System รุ่นล่าสุด พร้อมปรับโฉมภายนอกให้สง่างามและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น

ไฮไลท์สำคัญในบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ คือแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.3 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่รองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ และลดเวลาชาร์จเต็มจาก 3 ชั่วโมง 45 นาที เหลือเพียง 2 ชั่วโมง 15 นาที ส่วนระยะทางการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน (ตามมาตรฐาน WLTP) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 330e รุ่นก่อนหน้า ด้วยระยะทางสูงสุด 85-101 กิโลเมตรเมื่อขับขี่ในแบบไร้มลภาวะ

แบตเตอรี่ใหม่นี้ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ผ่านการพิสูจน์สมรรถนะบนท้องถนนมาแล้ว ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า และเกียร์ 8 สปีด Steptronic Sport โดยรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ สามารถส่งกำลังสูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร สู่พื้นถนนผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง นอกจากนี้ ฟังก์ชัน Sport Boost สามารถเพิ่มสมรรถนะและอัตราเร่ง เสริมความสปอร์ตให้เร้าใจยิ่งขึ้นเป็นระยะเวลา 10 วินาที ขณะที่ระบบกันสะเทือน Adaptive M ช่วยเสริมความแม่นยำในทุกจังหวะ ให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจบนทุกสภาพถนน

ภายนอก บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ เสริมความโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว แบบ Double Spoke สองสี เข้ากันอย่างลงตัวกับชุดแต่ง M Sport Pro รอบคัน ซึ่งมีทั้ง M Lights Shadowline เติมเฉดสีเข้มให้กับชุดไฟหน้า Adaptive LED ด้านข้างตกแต่งด้วย M High-gloss Shadowline with Extended Contents และสปอยเลอร์ท้ายแบบ M ก่อนเติมความสปอร์ตให้สมบูรณ์แบบด้วยหลังคากระจกระบบไฟฟ้าและคาลิเปอร์เบรกสีแดงเงา

ส่วนห้องโดยสารในรุ่นปรับโฉมนี้ ยังคงเน้นย้ำประสบการณ์อันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ด้วยพวงมาลัยหนังแบบ M ในรูปทรงตัดขอบล่าง ชุดแต่งแผงคอนโซลแบบ Luxury พร้อมการตกแต่งสไตล์ M ทั่วห้องโดยสาร ทั้งเข็มขัดนิรภัย M
เข้าคู่กับเบาะนั่งแบบสปอร์ตด้านหน้า วัสดุตกแต่งภายในแบบ Aluminium Rhombicle Anthracite M และอื่นๆ อีกมากมาย บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 เวอร์ชันล่าสุดที่ออกแบบมาให้เข้าถึงการตั้งค่าและฟังก์ชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึง BMW Iconic Sounds Electric ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 330e เพื่อส่งเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองผ่านชุดเครื่องเสียงเซอร์ราวด์ Harman Kardon ขณะขับขี่ในระบบไฟฟ้าล้วน นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังครบครันด้วยฟังก์ชันด้านความปลอดภัยและสะดวกสบาย ทั้งระบบ Active Cruise Control with Stop & Go Function, ระบบช่วยจอด Parking Assistant Plus และระบบเสียงเตือนคนเดินเท้า (Acoustic Protection for Pedestrians) ขณะขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า

บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ในสีเทา Brooklyn Grey Metallic, น้ำเงิน Portimao Blue Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีดำ) ขาว Mineral White Metallic และดำ Black Sapphire Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีน้ำตาล)

บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring หนึ่งในพี่ใหญ่ของตระกูลซีรีส์ 3 กลับมากับการปรับโฉมที่ตื่นตาไม่แพ้กัน โดยยังคงผสมผสานสมรรถนะส่งตรงจากสนามแข่งเข้ากับความอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหนือชั้น และรุ่นปรับโฉมนี้ก็ยกระดับความแรง เสริมลุคสปอร์ตให้เตะตากว่าเดิมไปอีกขั้น

ในฐานะรถยนต์ทัวริ่งเครื่องยนต์เบนซินรุ่นท็อปของบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ มอบสมรรถนะมหาศาลอย่างสมศักดิ์ศรีด้วยด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มีพละกำลังสูงขึ้น 20 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า ขึ้นมาอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 650
นิวตันเมตรที่ 2,750-5,730 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ 8 สปีด M Steptronic Sport พร้อม Drivelogic ส่งกำลังสู่ล้อทั้งสี่ จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ด้วยแพ็คเกจ M Driver’s Package ที่ติดตั้งมาในรุ่นนี้ก็เพิ่มความเร็วสูงสุดของตัวรถขึ้นไปที่ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ BMW M xDrive สามารถปรับอัตราส่วนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและหลังได้โดยอิสระ เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำที่สุดในทุกสภาวะการขับขี่ ขณะที่ฟังก์ชัน Boost Control ช่วยเพิ่มอัตราเร่งของ M3 Competition Touring ใหม่ ด้วยการเตรียมระบบส่งกำลังให้พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพเมื่อรถออกตัว นอกจากระบบเบรกแบบ M compound ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานแล้ว ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่เหนือกว่า

ด้านหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ โดดเด่นด้วยไฟหน้า Adaptive LED ที่ออกแบบใหม่ พร้อมกรอบสีเข้มจากแพ็คเกจ M Lights Shadowline ขนาบข้างกระจังหน้าทรงไตคู่ที่ตกแต่งด้วยแถบคู่แนวนอนสไตล์ M ส่วนซุ้มล้อที่ดูทรงพลังและและราวหลังคาแบบ M high-gloss Shadowline ยังคงติดตั้งมาเช่นเดียวกับรุ่นก่อน เข้าชุดกับล้อแบบ M ดีไซน์ใหม่ในรุ่นปรับโฉม ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke พร้อมให้เลือกได้ทั้งแบบสีดำ ดำทูโทน และเทา Orbit Grey ชุดแต่ง M Carbon ยิ่งขับเน้นความแรงของตัวรถให้เด่นในทุกมุมมองด้วยชิ้นส่วนรอบคัน เช่น กรอบช่องรับอากาศด้านหน้า ดิฟฟิวเซอร์ท้ายคัน และฝาครอบกระจกมองข้าง

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ คงความแรงสไตล์ M ไว้ในทุกมิติ นับตั้งแต่พวงมาลัย M แบบสามก้านในทรงตัดขอบล่าง พร้อมตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องหมายสีแดงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาเพื่อสื่อถึงพลังที่ขับเคลื่อนตัวรถให้ทะยานไปข้างหน้า เบาะหน้าแบบ M Carbon bucket seat พร้อมให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รู้สึกทุกสัมผัสของความเคลื่อนไหวขณะโลดแล่นบนท้องถนน ปิดท้ายด้วยชุดแต่งภายในแบบ M Carbon Fibre ที่เสริมความสปอร์ตในทุกรายละเอียด ทั้งยังสะดวกสบายบนทุกเส้นทางด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบครบครัน เรียกใช้ได้อย่างง่ายดายผ่านเมนูที่ออกแบบใหม่ในระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5

บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ และรุ่นพิเศษพร้อมอัปเกรดเบรกเซรามิก มีให้เลือกทั้งในสีขาว Alpine White, เหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Skyscraper Grey, แดง Aventurine Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Toronto Red และเขียว Isle of Man Green รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual อีกกว่า 100 สี ที่เปิดให้ลูกค้าเลือกสรรได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G81-21GB-448

บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ พร้อมระบบเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ เป็นอีกหนึ่งรุ่นจากตระกูล M ที่ได้รับการปรับโฉม เติมสมรรถนะ และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล่าสุดจากบีเอ็มดับเบิลยู

คูเป้พลังแรงรุ่นนี้มาพร้อมแพ็คเกจ M Driver’s Package เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มความเร็วสูงสุดจาก 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo เพิ่มพละกำลังขึ้นอีก 20 แรงม้าเช่นเดียวกับ M3 Competition Touring ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมส่งแรงบิดมหาศาล 650 นิวตันเมตร สู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW M xDrive และด้วยรูปทรงคูเป้ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที

เช่นเดียวกับรุ่น M3 Competition Touring บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ สามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีที่สุด เสริมความแม่นยำในการขับขี่ร่วมไปกับระบบกันสะเทือน Adaptive M ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

ไฟหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ มาในระบบ Adaptive LED ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมระบบไฟท้ายเลเซอร์ที่เคยใช้ในตัวแรงรุ่นน้ำหนักเบาอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL สัดส่วนด้านข้างที่โค้งมนและลู่ลมปรุงแต่งเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อ M ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกทั้งในสีเงิน M Silver, ดำ, และดำทูโทน แถมยังมีชุดแต่ง M Carbon มาเพิ่มความเฉียบรอบคัน

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ ได้รับการปรับโฉมในทิศเดียวกับ M3 Competition Touring ทั้งพวงมาลัยแบบ M ทรงตัดขอบล่าง และประสบการณ์การใช้งานและตั้งค่าตัวรถที่เหนือกว่า ผ่านระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5

แฟน ๆ BMW M สามารถเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ได้ในสีเหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Dravit Grey, เขียว Isle of Man Green, เทา Skyscraper Grey, ขาว Frozen Brilliant White, น้ำเงิน Tanzanite Blue, ขาว Alpine White, น้ำเงิน Portimao Blue, แดง Toronto Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Aventurine Red, น้ำเงินด้าน Frozen Portimao Blue รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual
อีกกว่า 100 สี ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G82-21HK-P7B

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ เปิดประตูให้ได้สัมผัสกับความหรูหราของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 แบบปลั๊กอินไฮบริดกันได้ง่ายขึ้น โดยยังรักษาความเนี้ยบสไตล์สปอร์ตที่ทำให้ซีรีส์ 5 ทุกรุ่นเป็นที่ชื่นชอบทั้งสำหรับนักขับและผู้บริหารทั่วโลก

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ โดดเด่นด้วยความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 สวยสะดุดตาด้วยเส้นสายบนพื้นผิวรอบคัน โดยในรุ่นใหม่นี้ มีชุดแต่ง Titanium Bronze มาเติมความหรูไปอีกสไตล์กับโทนสีบรอนซ์อ่อนบนกระจังหน้าทรงไตคู่ เล่นล้อไปกับแสงส่องสว่างจากระบบไฟ BMW Iconic Glow ส่วนล้อขนาด 20 นิ้วก็ปรับดีไซน์เป็นแบบ Aerodynamic ในโทนสี Multicolour Titanium Bronze เพื่อให้เข้ากับชุดแต่งใหม่นี้อย่างลงตัว

ระบบส่งกำลังแบบไฮบริดที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 530e เป็นที่ชื่นชอบในตลาดรถยนต์สำหรับผู้บริหาร กลับมาอีกครั้งในรุ่น 530e Inspiring โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 220 กิโลวัตต์ / 299 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำให้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ช่วยให้วิ่งได้ไกล 87-102 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) และทำความเร็วได้สูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมเสียงเครื่องยนต์จำลองจากระบบ BMW IconicSounds Electric

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ประทับใจตั้งแต่แรกเห็นด้วยโทนสีที่ตัดกันของวัสดุผิวหน้าสีเงินแบบ Dark Silver และโทนไม้ Dark Oak ขณะที่คันเกียร์และปุ่มควบคุมต่างๆ ส่องประกายสะดุดตาด้วยแก้วคริสตัลจากชุดแต่ง BMW CraftedClarity ส่วนแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฟังก์ชันด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากมายผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วที่ติดตั้งอยู่ไม่ไกลจากพวงมาลัย นอกจากระบบ Driving Assistant แบบมาตรฐาน (สามารถอัปเกรดเป็น Driving Assistant Plus ผ่าน ConnectedDrive Store) แล้ว ระบบ Parking Assistant Plus ยังทำงานร่วมกับชุดกล้องรอบคันเพื่อช่วยให้จอดรถได้อย่างปลอดภัยและง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด (สามารถอัปเกรดเป็น Parking Assistant Professional ผ่าน ConnectedDrive Store) ขณะที่ระบบ BMW Head-Up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับถนนด้วยการแสดงข้อมูลสำคัญในระดับสายตาธรรมชาติ

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เสริมความสบายตัวให้ผู้โดยสารทุกคนตลอดเส้นทาง ส่วนกล้องภายในที่เพิ่มเข้ามา สามารถใช้ถ่ายภาพผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมแชร์ต่อไปยังสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และด้วยอุปกรณ์ Travel & Comfort ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ผู้โดยสารเบาะหลังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ด้านหลังเบาะหน้า เพื่อความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวหรือจัดเก็บสิ่งของ

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ มีให้เลือกในสีดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Mineral White Metallic, เทา Oxide Grey Metallic (ทั้งสามสีมาพร้อมเบาะหุ้ม Veganza สีน้ำตาล Espresso) และเขียว Cape York Green (เบาะหุ้ม Veganza สีดำ)

บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

หลังจากที่ได้ประกาศเปิดตัวไปในงานแถลงข่าวแผนธุรกิจประจำปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ถึงเวลาแล้วที่บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จะออกตัวมุ่งสู่ท้องถนนเมืองไทย ทั้งในรุ่นมาตรฐานและรุ่นอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค

บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ สรรสร้างมาในทุกรายละเอียดเพื่อการขับขี่ทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันและทริปเดินทางไกล ทั้งยังพร้อมมอบสมรรถนะที่เป็นเลิศควบคู่กับทางเลือกในการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน คุณสมบัติทั้งหมดนี้รวบรวมไว้ภายใต้งานออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งพันธุ์แท้ โดยรูปทรงของตัวถังด้านข้างผ่านการปรับแต่งให้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นซุ้มล้อที่นูนเด่นหรือเส้นหลังคาที่ทอดยาวไปด้านท้าย ส่วนด้านหน้ารถ แสดงคาแรกเตอร์ความแรงเต็มที่ด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่ กระจังหน้าไตคู่แบบ M พร้อมไฟส่องสว่าง BMW Iconic Glow ขณะที่ท้ายรถประดับด้วยแถบไฟท้ายที่โค้งรับกับทุกสัดส่วน ตั้งอยู่เหนือดิฟฟิวเซอร์คู่และชุดท่อไอเสีย 4 ท่อที่ยิ่งขับเน้นความสง่างามและน่าเกรงขามให้ชัดเจน

ระบบขับเคลื่อน M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ผสานเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตรเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมด้วยชุดเกียร์ 8 สปีด M Steptronic โดยตัวเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวให้กำลังสูงสุด 430 กิโลวัตต์ / 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,400 รอบต่อนาที ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ให้กำลังเพิ่มอีก 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร โดยรวมแล้ว ระบบ M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 535 กิโลวัตต์ / 727 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่น่าทึ่งถึง 1,000 นิวตันเมตร

ด้วยสมรรถนะระดับนี้จากระบบส่งกำลัง บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จึงต้องมีแชสซีที่ออกแบบมาด้วยนวัตกรรมจากบีเอ็มดับเบิลยู M เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมด้วยช่วงล่าง Adaptive M และระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว Integral Active Steering เพื่อมอบความแม่นยำสูงสุดในทุกสภาพถนนและเส้นทาง M5 รุ่นใหญ่คันนี้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกอัปเกรดประสบการณ์ไปอีกขั้นด้วยระบบเบรกเซรามิก M Carbon ceramic ที่ช่วยลดระยะเบรก เพิ่มความไวในการตอบสนองในกรณีขับขี่เต็มสมรรถนะโดยใช้ทั้งคันเร่งและเบรกคู่กัน

บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ขนาด 20 นิ้ว (หน้า) / 21 นิ้ว (หลัง) แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกในสีดำ เทาทูโทน Midnight Grey และดำทูโทน และพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,630 ลิตรพร้อมระบบเปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อผู้ขับขี่เป็นพิเศษ ครบครันด้วยงานออกแบบสุดสปอร์ตสไตล์ M ทั้งพวงมาลัยหนัง M ที่ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะนั่ง M multifunction พร้อมเข็มขัดนิรภัย M ระบบไฟภายในแบบเฉพาะรุ่น M และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Bowers & Wilkins โดยทั้งหมดนี้ เสริมความหรูหราโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง Dark Silver M ที่ผสมผสานสีเงินเข้มเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์ได้อย่างพอดี

ระบบควบคุม BMW iDrive เวอร์ชันล่าสุด พร้อมด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 ที่รองรับการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านทั้งหน้าจอสัมผัสและการสั่งการด้วยเสียง ติดตั้งมาคู่กับแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งรวมถึงระบบนำทาง BMW Maps และฟังก์ชัน Augmented View ส่วนระบบช่วยการขับขี่มากมายจาก Driving Assistant Professional ครอบคลุมทั้งระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาเลน, Active Cruise Control และ Lane Change Assist ขณะที่ระบบ Parking Assistant Professional ช่วยให้ควบคุมการจอดรถผ่านสมาร์ทโฟนจากภายนอกตัวรถได้

MINI John Cooper Works Electric ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

อีกหนึ่งรุ่นที่เตรียมลุยตลาดไทยอย่างเต็มตัวหลังจากที่เผยโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ MINI John Cooper Works Electric ตัวแรงพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกจากตำนานโลกยานยนต์อย่าง จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์

MINI John Cooper Works Electric แบบ 3 ประตู มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าล้วนที่ให้กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า และแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่เรียกใช้งานได้ทันทีแบบไม่มีหน่วง นอกจากจะตอบสนองการส่งกำลังได้อย่างรวดเร็วในแบบรถ BEV แล้ว JCW ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังเติมความแรงได้อีกขณะออกตัวด้วยฟังก์ชัน Electric Boost ที่เสริมพลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 20 กิโลวัตต์เป็นระยะสั้นๆ ขณะเร่งความเร็ว ส่วนช่วงล่างก็ผ่านการปรับจูนมาในสไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เต็มตัว ให้ความรู้สึก “Go-Kart feeling” ที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิในแบบพลังสูง คล่องตัวกับทุกโค้งในแบบที่แฟนๆ มินิชื่นชอบ

การตกแต่งและอุปกรณ์พิเศษเฉพาะรุ่นรอบคัน ทำให้ MINI John Cooper Works Electric เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์จากโลกมอเตอร์สปอร์ตและอนาคตของวงการยานยนต์ JCW รุ่นใหม่นี้ สวยเฉี่ยวด้วยโลโก้ JCW สีแดง-ขาว-ดำที่ได้แรงบันดาลใจจากธงตาหมากรุก และสปอยเลอร์ท้ายที่สวยเด่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ และด้านระยะทางการขับขี่ที่สูงถึง 371 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP

ภายในห้องโดยสาร ยังเต็มไปด้วยโทนสีแดงและดำอันเป็นเอกลักษณ์ของจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ทั้งพวงมาลัยสปอร์ต JCW สีดำที่ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงและหุ้มผ้าที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อให้จับถนัดมือ เบาะสปอร์ต JCW ให้การรองรับที่มั่นคงระหว่างการขับขี่แบบสุดตัว ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงตัดกับหนังสีดำเช่นเดียวกับผิวของคอนโซล นอกจากนี้ โหมด Go-Kart ในระบบ MINI Experience Modes ยังช่วยเติมกลิ่นอายของมอเตอร์สปอร์ตตามสไตล์ JCW ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโหมดนี้จะตั้งค่าพวงมาลัยให้ไวมากขึ้น คันเร่งตอบสนองเร็วขึ้น และแสดงข้อมูลเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลมด้านหน้า ทั้งแรงบิด กำลังเครื่องยนต์ และแรง G แบบเรียลไทม์

MINI John Cooper Works Electric รุ่นแรกนี้ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White, ดำ Midnight Black II และน้ำเงิน Blazing Blue

MINI John Cooper Works Aceman ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

น้องใหม่ล่าสุดของครอบครัวมินิอย่าง Aceman ในโฉม 5 ประตูที่พร้อมรับมือทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ในเมือง พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่โลกของสมรรถนะเต็มพิกัดด้วยขุมพลังไฟฟ้าตัวแรงในรุ่น MINI John Cooper Works Aceman

MINI John Cooper Works Aceman ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า เช่นเดียวกับ MINI John Cooper Works Electric รุ่น 3 ประตู แต่มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าและตัวถังที่ยกสูงจากพื้นมากขึ้นโดยยังคงความแรงไว้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.4 วินาที แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้ MINI John Cooper Works Aceman วิ่งได้ไกลถึง 355 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ในเวลาเพียง 31 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสตรง 95 กิโลวัตต์ หรือ 5 ชั่วโมง 30 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสสลับ
11 กิโลวัตต์

นอกจากดีไซน์เฉพาะตัวแบบจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ อย่างลายคาดสปอร์ตสีแดง-ดำ พร้อมหลังคาและฝาครอบกระจกมองข้างที่ใช้โทนสีเดียวกันแล้ว JCW Aceman ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 19 นิ้ว แบบ Strive Spoke ทูโทน ส่วนห้องโดยสารที่กว้างขวาง ยิ่งดูโปร่งโล่งมากขึ้นด้วยหลังคากระจกพาโนรามา ภายในห้องโดยสารยังคงเอกลักษณ์ของรถตระกูล John Cooper Works ไว้ครบถ้วน ทั้งพวงมาลัย JCW แบบเฉพาะรุ่นและเบาะนั่งสปอร์ต จอแสดงผล OLED ทรงกลม ส่วนฟังก์ชัน MINI Experience Modes ก็รองรับโหมด Go-Kart ที่มีให้สัมผัสกันตามสไตล์รุ่น JCW เช่นกัน

รถยนต์มินิเจเนอเรชั่นใหม่ทุกรุ่น รองรับระบบ Digital Key Plus ช่วยให้ใช้สมาร์ทโฟนเป็นกุญแจรถแบบดิจิทัลได้อย่างสะดวก สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า นอกจากนี้ ทั้ง MINI John Cooper Works Aceman และ John Cooper Works Electric ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Remote Parking ที่ช่วยควบคุมการจอดและนำรถออกจากที่จอดผ่านสมาร์ทโฟนได้

MINI John Cooper Works Aceman ใหม่ พร้อมให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White และดำ Midnight Black II

MINI John Cooper Works ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

MINI John Cooper Works Convertible ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

MINI John Cooper Works เครื่องยนต์เบนซิน กลับมาอีกครั้งในโฉมใหม่ ภายใต้แนวทางการออกแบบของ New MINI Family เจเนอเรชันปัจจุบัน พร้อมมอบประสบการณ์ความสนุกแบบเพียวๆ บนท้องถนนในสไตล์เฉพาะตัวของมินิ และเพิ่มความพิเศษด้วยรุ่นเปิดประทุนที่เติมสีสันให้ทุกการเดินทาง

ทั้ง MINI John Cooper Works และรุ่น Convertible ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ TwinPower Turbo 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ที่ปรับจูนมาเพื่อสมรรถนะสูงสุด ส่งผลให้รุ่น JCW เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.1 วินาที ส่วนรุ่น JCW Convertible ทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใกล้เคียงกันที่ 6.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ 250 และ 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามลำดับ เมื่อต้องการโลดแล่นแบบรับลมด้วยการเปิดประทุน หลังคาผ้าของรุ่น JCW Convertible ก็สามารถเปิดออกได้ในเวลาเพียง 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทั้งสองรุ่นโดดเด่นด้วยโลโก้ JCW แบบใหม่ที่ด้านหน้า พร้อมกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมสีดำเงาและช่องรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนท้ายรถก็เน้นความสปอร์ตด้วยดิฟฟิวเซอร์สีดำและชุดท่อไอเสียที่ติดตั้งตรงกลาง พร้อมล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 18 นิ้ว แบบ Lap Spoke ทูโทน

เช่นเดียวกับรุ่นพลังงานไฟฟ้าในตระกูล John Cooper Works ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ทั้ง MINI John Cooper Works และ John Cooper Works Convertible ใหม่ มาพร้อมโหมด Go-Kart ที่ใช้งานได้ผ่าน MINI Experience Modes โดยโหมดนี้จะปรับพวงมาลัยและคันเร่งให้ตอบสนองไวขึ้น และแสดงข้อมูลสมรรถนะเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลม นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับการเข้าถึงตัวรถด้วยระบบ MINI Digital Key Plus เช่นกัน

MINI Cooper Convertible S ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568

แฟนๆ มินิที่ชื่นชอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนในสไตล์คลาสสิก เตรียมพบกับ MINI Cooper Convertible S ใหม่ ที่ผสานความกะทัดรัดเข้ากับบรรยากาศของอิสรภาพจากดีไซน์เปิดประทุนที่คงความสดใหม่ของแนวทางการออกแบบในสไตล์ของ New MINI Family

ไฮไลท์สำคัญของ MINI Cooper Convertible S คือหลังคาผ้าที่สามารถเปิดได้สองรูปแบบ ทั้งแบบซันรูฟและแบบเปิดประทุนเต็มรูปแบบ โดยหลังคาสามารถเปิดอัตโนมัติได้ภายใน 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนโหมดซันรูฟสามารถเปิดหลังคาได้ที่ความเร็วใดก็ได้ เมื่อเปิดหลังคาเต็มที่ ตัวหลังคาจะถูกพับเก็บไว้ด้านหลังเบาะหลัง และหน้าจอ OLED ทรงกลมก็จะเริ่มจับเวลาการขับรถแบบเปิดประทุนทันทีในโหมด Always Open Timer

เมื่อเปิดหลังคา MINI Cooper Convertible S จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระรวม 160 ลิตร ด้วยระบบพับเก็บหลังคาที่ประหยัดพื้นที่ท้ายรถ และหากปิดหลังคาก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 215 ลิตร ส่วนประตูท้ายออกแบบมาให้เปิดลงด้านล่างเพื่อความสะดวกในยกของขึ้นลง สะท้อนความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของรถเปิดประทุนคันนี้ ด้านความปลอดภัย ระบบป้องกันการพลิกคว่ำจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์ต่างๆ ตรวจพบความเสี่ยงที่รถอาจพลิกคว่ำได้

MINI Cooper Convertible S ใหม่ แตกต่างจากเพื่อนๆ ร่วมตระกูล New MINI Family ด้วยกรอบหน้าต่างที่ลดระดับลงได้แบบอัตโนมัติเมื่อพับหลังคาลง แต่ยังรักษาเอกลักษณ์อื่นๆ ของมินิในเจเนอเรชันนี้ไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ส่วนหน้ารถที่สั้นกะทัดรัด ไฟหน้าทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม ไปจนถึงไฟท้าย LED แนวตั้งและแถบมือจับประตูหลังที่วางในแนวนอน

MINI Cooper Convertible S ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจกว่าใคร ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.9 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และด้วยระบบกันสะเทือนที่ปรับจูนมาเพื่อความแม่นยำและคล่องตัวสูง มินิเปิดประทุนรุ่นนี้จึงโลดแล่นในทุกโค้งได้อย่างสนุกไม่แพ้รุ่นมีหลังคา

นอกจากหน้าจอ OLED ทรงกลมแล้ว ภายในห้องโดยสารของ MINI Cooper Convertible S ยังสะท้อนภาษาการออกแบบ “Charismatic Simplicity” ของ New MINI Family ด้วยวัสดุหุ้มเบาะแบบทูโทนแต่งลายถัก ให้สัมผัสนุ่มสบายและดูแลรักษาง่ายไปพร้อมกัน ระบบ MINI Experience Modes ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับรุ่น Convertible S ด้วยชุดโปรเจคเตอร์สองตัวที่ติดตั้งด้านหลังหน้าจอ เพื่อฉายภาพกราฟิกและแสงไฟลงบนแผงคอนโซลขณะขับขี่แบบปิดหลังคา

แพ็คเกจ Driving Assistant Plus เสริมความสะดวกให้ MINI Cooper Convertible S ด้วยระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาช่องทางเดินรถ ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ขับขี่ในการนำทาง ส่วนเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และกล้อง Surround View 4 ตัว ช่วยให้ระบบ Parking Assistant Plus สามารถตรวจหาช่องจอดที่ยังว่างและพารถเข้าช่องจอดแบบอัตโนมัติแม้จะมีพื้นที่จำกัด

MINI Cooper Convertible S ใหม่ พร้อมมอบอิสรภาพและบรรยากาศของการผจญภัยบนท้องถนนทั่วไทยเร็วๆ นี้ โดยมีให้เลือกในสีเทา Copper Grey, ขาว Nanuq White และเหลือง Sunny Side Yellow

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Option 719
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Triple Black

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure
ราคาประมาณการณ์ ระหว่าง 1,250,000 – 1,350,000 บาท

มอเตอร์ไซค์ระดับตำนานที่สรรสร้างขึ้นเพื่อที่สุดแห่งการผจญภัย กลับมาอีกครั้งในบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ที่ได้รับการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ในการเดินทางระยะไกลบนพาหนะสองล้อให้เหนือระดับกว่าที่เคย

เครื่องยนต์บ็อกเซอร์สองสูบที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ยังคงเป็นขุมพลังที่ขับเคลื่อน R 1300 GS Adventure ใหม่ ให้ออกโลดแล่น โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกกับบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS และมีขนาดกะทัดรัดกว่าในรุ่นก่อนหน้าด้วยชุดเกียร์ที่ย้ายมาติดตั้งใต้ตัวเครื่องยนต์ ทั้งยังจัดวางระบบขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวแบบใหม่ ขุมพลังนี้ให้สมรรถนะสูงสุด 107 กิโลวัตต์ / 145 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที จึงนับเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดที่จากสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบ Automated Shift Assistant (ASA) ที่ติดตั้งมาให้ ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยคลัตช์และคันเกียร์ที่ทำงานแบบอัตโนมัติ แต่ยังรักษาอารมณ์และสัมผัสของการขับขี่ไว้อย่างครบถ้วน

ส่วนระบบกันสะเทือนที่ออกแบบใหม่ในรุ่นนี้ มีหัวใจหลักเป็นเฟรมตัวถังที่ทำจากเหล็กกล้า โดยนอกจากจะมีขนาดเล็กลงแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งกว่าโครงในรุ่นเดิมอีกด้วย ส่วนช่วงท้ายรถ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ เลือกใช้เฟรมท้ายแบบโครงตาข่ายอลูมิเนียมแทนที่โครงสร้างท่อเหล็กกล้าในรุ่นเดิม ระบบนำทางล้อหน้า EVO Telelever ทำงานผสานกับชิ้นส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมระบบนำทางล้อหลัง EVO Paralever ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จึงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวและความมั่นคงในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ Dynamic Suspension Adjustment (DSA) ใหม่ สามารถปรับความแข็งของสปริงช่วงล่างในส่วนหน้าและท้ายรถได้ตามโหมดการขับขี่ สภาพถนน ทิศทางและความเคลื่อนไหวของตัวรถ หรือแม้แต่น้ำหนักของผู้โดยสารและสัมภาระ สำหรับความสูงของตัวรถก็สามารถปรับแต่งได้แบบอัตโนมัติให้เหมาะกับสภาพการขับขี่และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ โดยขณะจอดรถหรือขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ตัวรถจะลดระดับความสูงลง 30 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนที่มี 3 โหมด โหมด “Rain” และ “Road” ช่วยปรับลักษณะการขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนนในสถานการณ์ส่วนใหญ่ที่ต้องพบเจอ โหมด “Eco” ช่วยให้วิ่งได้ไกลที่สุดต่อการเติมน้ำมันหนึ่งถัง ส่วนโหมด “Enduro” ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดด้วยการตั้งค่าที่ปรับแต่งมาเฉพาะทาง ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ยังติดตั้งระบบ Dynamic Cruise Control (DCC) พร้อมฟังก์ชันเบรกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนตัวช่วยขับขี่ Riding Assistant มาพร้อมฟังก์ชันเสริมมากมาย รวมถึง Active Cruise Control (ACC), Front Collision Warning (FCW) และ Lane Change Warning

รูปลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure โดดเด่นด้วยถังน้ำมันอลูมิเนียมขนาด 30 ลิตรที่เปิดให้ทุกสายตาได้สัมผัส ความกว้างของตัวถังนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกตัวได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังช่วยกันลมจากด้านหน้าได้ดี กระจกหน้าขนาดใหญ่พร้อมแผ่นบังลมใสขนาดใหญ่อีกสองชิ้นยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันสภาพอากาศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและลดเสียงรบกวนไปพร้อมกัน ส่วนด้านซ้ายและขวาของตัวถังส่วนบน มีถาดยางติดตั้งไว้สำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆ ขณะแวะจอดพักริมทาง

ด้านหน้า บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันในตัว และไฟเสริมในรูปทรงบางเฉียบอีกสองดวง ส่วนชุดไฟเลี้ยว LED ดีไซน์ใหม่ติดตั้งมาบริเวณแฮนด์การ์ดที่ด้านหน้า และผสมผสานเข้ากับดีไซน์ส่วนท้ายรถอย่างกลมกลืน

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ใน 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Triple Black (เกียร์ธรรมดา), GS Trophy (เกียร์ธรรมดา), Option 719 Karakorum (เกียร์ธรรมดา) และ Option 719 ASA (เกียร์อัตโนมัติ)

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR
ประกาศราคาเร็วๆ นี้

ซูเปอร์ไบค์พันธุ์แท้ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR พร้อมหวนคืนสู่ท้องถนนอีกครั้งในโฉมใหม่ ให้แฟนๆ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้ตื่นตาตื่นใจกัน ตามทันควันหลงบรรยากาศการเริ่มฤดูกาลใหม่บนสนามแข่ง

S 1000 RR ใหม่ ถูกปรับแต่งในหลายจุดสำคัญเพื่อยกระดับสมรรถนะในสนามแข่งให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น โดยขุมพลังในรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงแบบ 4 จังหวะ ขนาด 999cc ตัวเดิม ให้กำลังสูงสุด 154 กิโลวัตต์ / 210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร และสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ ก็มากับการรับรองมาตรฐานมลภาวะ Euro 5+ อย่างเป็นทางการ ส่วนคันเร่งใหม่แบบช่วงชักสั้นก็ให้การตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้นในขณะบิดทำความเร็ว ส่วนปีก winglet ที่ติดตั้งมาเพิ่มก็ช่วยกดตัวรถให้เกาะถนนมั่นคงกว่าเดิม ฝาครอบล้อหน้าโฉมใหม่ มีช่องระบายอากาศในตัวสำหรับช่วยทำความเย็นระบบเบรก และแผงด้านข้างตัวถังก็มีการปรับโฉมให้สวยเฉี่ยวกว่าในรุ่นเดิม

โหมดการขับขี่แบบ Pro ถูกติดตั้งมาเป็นฟังก์ชันมาตรฐานในบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ จึงทำให้ผู้ขับขี่สามารถเรียกใช้งานโหมดใหม่อย่าง Race Pro ที่ปรับคันเร่งให้ตอบสนองเร็วขึ้น ปรับจูนทั้งแรงบิดจากเครื่องยนต์ การชะลอความเร็วโดยไม่ใช้เบรก ระบบช่วยออกตัวทางชัน (Hill Start Control Pro) และระบบเบรก ABS ที่เลือกตั้งค่าต่างหากได้ถึง 5 ระดับการทำงาน นอกจากนี้ ระบบช่วยควบคุมเบรก Dynamic Brake Control (DBC) ก็ยังเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสีเทา Bluestone metallic และขาว Light white M Motorsport

- Advertisment -

Must Read